ส่วนที่ 5
การระดมความคิดเห็น เรื่อง สิทธิชุมชนกับการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
อย่างยั่งยืนในบริบทชุมชนสู่สากล
กิจกรรมในส่วนนี้ดำเนินการโดย รองศาสตราจารย์บำเพ็ญ เขียวหวาน จากมหาวิทยาลัย
สุโขทัยธรรมาธิราช และนางสาวเรวดี ประเสริฐเจริญสุข มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งได้ให้ข้อมูลแก่ที่ประชุมในเบื้องต้นเกี่ยวกับการสร้างหลักประกันความยั่งยืนของการประมงขนาดเล็กตามแนวทางที่องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติกำหนดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิชุมชนและการจำทำกรอบอาสาสมัครเพื่อสร้างหลักประกันความยั่งยืนประมงขนาดเล็ก รวมทั้งกระบวนการจัดทำกรอบความร่วมมือ
ทั้งนี้ได้ทำการแบ่งผู้เข้าร่วมสัมมนาออกเป็น 9 กลุ่มย่อย ที่มีสมาชิกคละกันจากชุมชนต่างๆ เพื่อให้ระดมความคิดเห็นกลุ่มย่อยละ 2 ประเด็น ก่อนนำเสนอเป็นรายกลุ่มในห้องประชุใหญ่ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาทั้งหมดอภิปรายและแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมร่วมกัน ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญของทั้ง 9 ประเด็น ดังนี้
1 ลักษณะของประมงพื้นบ้านและประมงขนาดเล็ก
สามารถเปรียบเทียบลักษณะของประมงพื้นบ้านและประมงขนาดเล็กดังนี้ |
ประมงพื้นบ้าน |
ประมงขนาดเล็ก |
ทำการจับสัตว์น้ำในท้องถิ่นของตนเอง โดยไม่มีการข้ามถิ่น |
ทำการจับสัตว์น้ำในเขตน่านน้ำของชุมชน โดยไม่มีการข้ามน่านน้ำ |
ทำการจับสัตว์น้ำบริเวณชายฝั่งหรือคลองในท้องถิ่น โดยระยะทางไม่เกิน 3,000 เมตร จากแนวชายฝั่ง |
ทำการจับสัตว์น้ำภายในเขตจังหวัดของตนเองในบริเวณห่างจากแนวชายฝั่งมากกว่า 3,000 เมตร |
ใช้เครื่องมือพื้นบ้านที่ไม่สลับซับซ้อนที่ไม่สร้างเสียหายต่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม |
มีการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีขั้นสูงประกอบ เช่น ซาวเดอร์ โซนา |
เน้นการใช้แรงงานเฉพาะภายในครัวเรือนของตน |
มีการว่าจ้างแรงงานทั้งภายในและภายนอกชุมชน ระหว่าง 20 30 คน |
ส่วนใหญ่ใช้เรือหางยาวบางทีมีกำลังของเครื่องเรือประมาณ 5 - 8 แรงม้า |
ใช้เรือขนาดกลางที่มีกำลังของเครื่องเรือประมงประมาณ 500 แรงม้า |
เน้นการจับสัตว์น้ำเฉพาะบางชนิด เพื่อใช้ภายในครัวเรือนและจำหน่ายในท้องถิ่น |
เน้นการจับสัตว์น้ำหลากหลายชนิดในปริมาณสูงเพื่อการพาณิชย์ |
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันที่ยังมีความสับสนแก่ชุมชนในพื้นที่ ดังนั้นหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจึงควรร่วมกันกำหนดนิยามของ ประมงพื้นบ้าน และ ประมงขนาดเล็ก ให้มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรมต่อการปฏิบัติ
2 ข้อเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนโดยทั้งในการจัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง
เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนในการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของตนควรดำเนินการในด้านต่างๆ ดังนี้
2.1 ด้านกฎหมาย
1) กฎหมายประมง กฎหมายด้านประมงที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันขาดความเหมาะสมในทางปฏิบัติหลายประการ ควรมีการทบทวนโดยต้องสนับสนุนสิทธิชุมชนต่อการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อของตนในกฎหมายให้ชัดเจน
2) กฎหมายที่เกี่ยวข้อง การจัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่งมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับที่ชุมชนไม่มีความรู้และความเข้าใจอย่างแท้จริง
2.2 ด้านหน่วยงาน
1) หน่วยงานภาครัฐ บทบาทหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบด้านการจัดการทรัพยากรทางทะเลมีหลายหน่วยงานสร้างความสับสนให้แก่ประชาชน อย่างไรก็ตามแต่ละหน่วยงานควรดำเนินการตามหน้าที่อย่างจริงจังและต้องมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างแท้จริง
2) หน่วยงานท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์การบริหารส่วนตำบล ควรมีการกำหนดบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานท้องถิ่นให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการให้ความรู้เพิ่มเติมให้ครอบคลุมเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมต่อการบริหารจัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่งในท้องถิ่นของตน ให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานท้องถิ่น
2.3 ด้านชุมชน
1) ควรส่งเสริมความรู้และความเข้าใจแก่ชุมชนชายฝั่งเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่งในด้านที่จำเป็นของชุมชน โดยการใช้สื่อในรูปแบบต่างๆ ตามความเหมาะสม
2) ควรสนับสนุนให้ชุมชนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้และประสบการณ์กับชุมชนอื่นๆ ที่มีความเข้มแข็งและประสบผลสำเร็จในการจัดการทรัพยากรชายฝั่งของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดตั้งกลุ่มในชุมชนร่วมกัน
3) ควรสนับสนุนอาสาสมัครขององค์กรพัฒนาภาคเอกชนในการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่งร่วมกับชุมชน
3 ข้อเสนอต่อการสร้างความรับผิดชอบร่วมกันในสังคมต่อการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
การสร้างความรับผิดชอบร่วมกันในสังคมต่อการจัดการทรัพยากรทะและชายฝั่งควรดำเนินการในประเด็น ดังนี้
3.1 ผู้บริโภคสินค้าต้องมีจิตสำนึกและร่วมมือต่อการส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง เช่น การงดบริโภคสัตว์น้ำในฤดูวางไข่ การเลือกซื้อสินค้าที่ชุมชนปฏิบัติตามกฎหมาย
3.2 มีการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างชุมชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่เชื่อมโยงกันในทุกภูมินิเวศทั้งต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ
3.3 ต้องเปิดโอกาสให้ชุมชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ร่วมแสดงความคิดเห็นและตรวจสอบการดำเนินงานโครงการพัฒนาของรัฐและภาคธุรกิจในพื้นที่ของชุมชน
3.4 ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันต่อต้านการกระทำความผิดและสร้างความเสียหายต่อทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง
3.5 หน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น และชุมชน ต้องมีแผนงานและดำเนินงานแบบบูรณาการเพื่อจัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่งที่สอดคล้องและเชื่อมโยงกัน
3.6 ผู้ประกอบการธุรกิจต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชุมชนชายฝั่งที่เกี่ยวข้อง โดยจัดทำเป็นแผนงานควบคู่ไปกับการประกอบธุรกิจ
3.7 ภาครัฐต้องมีการรวบรวมข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมต่างๆ และเผยแพร่ให้ชุมชนได้รับทราบอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง
4 ความคิดเห็นต่อการเพาะเลี้ยงชายฝั่งกับการอนุรักษ์ทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง รวมทั้งข้อเสนอต่อการจัดการความขัดแย้งระหว่างการประมงเพาะเลี้ยงและประมงชายฝั่ง
4.1 ความคิดเห็นต่อการเพาะเลี้ยงชายฝั่งกับการอนุรักษ์ทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง
การเพาะเลี้ยงชายฝั่ง เช่น กระชังปลา การทำนากุ้ง การเลี้ยงปลาในบ่อ การทำคอกหอย ฯลฯ แม้จะช่วยสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการในชุมชนอยู่บ้างแต่หากขาดการจัดการที่ดีเพียงพอมักส่งผลกระทบต่อความเสียหายและสร้างความขัดแย้งในชุมชน ดังนี้
1) กีดขวางการคมนาคมทางเรือ
2) การเกิดน้ำเน่าเสียเป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำ
3) การปนเปื้อนของสารเคมีในระบนิเวศ
4) การเกิดตะกอนทับทมในลำคลองและทะเลเพิ่มขึ้น
5) สัตว์น้ำตามธรรมชาติมีแนวโน้มว่าลดลง
4.2 แนวทางการจัดการความขัดแย้ง
1) หน่วยงานของรัฐต้องควบคุมและดำเนินการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วยความเป็นธรรมอย่างจริงจังต่อผู้กระทำผิดในด้านต่างๆ
2) ผู้ประกอบการต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยการดำเนินการธุรกิจตามที่กฎหมายกำหนดและหลักวิชาการอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เช่น การสร้างบ่อพักน้ำ การกำจัดน้ำเสีย การใช้สารเคมีต่างๆ
3) กรณีที่มีปัญหาเกิดขึ้นผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งชุมชนและผู้ประกอบการต้องมีการหารือเพื่อหาแนวทางแก้ไข โดยหน่วยงานภาครัฐเป็นตัวกลางในการดำเนินงาน
4) รัฐควรมีการทบทวนนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเพาะเลี้ยงชายฝั่งในรูปแบบต่างๆ อย่างจริงจังเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เหมาะสมในปัจจุบันและหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิทำกินในทะเลและชายฝั่ง
5 การส่งเสริมบทบาทหญิงชาย เด็ก เยาวชน และคนเปราะบางต่อการเกิดภัยพิบัติในการจัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง
หน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันดำเนินการส่งเสริมบทบาทของชุมชนทุกภาคส่วนทั้งชาย หญิง เด็ก เยาวชนและคนเปราะบาง ในการมีส่วนร่วมกันจัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน ดังนี้
5.1 จัดทำแผนและดำเนินการจัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืนของชุมชน โดยเปิดโอกาสให้ตัวแทนของคนทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกัน
5.2 สนับสนุนการจัดตั้งกลุ่มของคนในชุมชนตามศักยภาพของตน เพื่อจัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง โดยที่หน่วยงานต่างๆ ต้องมีการบูรณาการและสนับสนุน การทำงานร่วมกับกลุ่มคนเหล่านี้อย่างแท้จริง
5.3 ออกกฎระเบียบของชุมชนเพื่อสร้างความเป็นธรรมและความเท่าเทียมกันในการจัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่งของชุมชน
5.4 มีการจัดการความรู้โดยรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง เพื่อให้คนในชุมชนได้นำไปใช้ประโยชน์ พร้อมทั้งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ โดยใช้สื่อในรูปแบบต่างๆ ตามความเหมาะสม
5.5 ให้ความสำคัญและส่งเสริมศักยภาพของผู้หญิง เยาวชนและคนเปราะบางในชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมจัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่งอย่างเป็นรูปธรรม
6 การลดความเสี่ยงและการตั้งรับปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของชุมชนชายฝั่ง
ชุมชนและหน่วยงานควรมีการดำเนินการในด้านการลดความเสี่ยงและการตั้งรับปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของชุมชนชายฝั่ง ดังนี้
6.1 ด้านชุมชน
1) ต้องมีการจัดทำแผนงาน และวัสดุอุปกรณ์เพื่อเตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับครัวเรือนและระดับชุมชน โดยมีข้อมูลข่าวสารที่เพียงพอและเป็นปัจจุบัน
2) การแลกแปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างคนในชุมชน โดยวิธีการที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน
3) ร่วมกับสถาบันการศึกษาในการจัดทำหลักสูตรท้องถิ่นโดยเน้นการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นควบคู่กับบทเรียนที่มีอยู่และความรู้ด้านวิชาการที่เกี่ยวข้อง
4) ควรมีการสร้างเครือข่ายระหว่างชุมชนใกล้เคียงเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและการเฝ้าระวังสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด
6.2 ด้านหน่วยงาน
1) หน่วยงานท้องถิ่นและจังหวัดต้องกำหนดแผนงาน ทรัพยากร งบประมาณและบุคลากรสนับสนุนให้แก่ชุมชนชายฝั่ง
2) หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องต้องวางแผนและจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือชุมชนได้ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
3) หน่วยงานภาคประชาสัมคมควรได้รับการสนับสนุนให้เป็นตัวกลางในการเชื่อมความรู้ และการสนับสนุนงบประมาณแก่ชุมชน
7 นโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่งที่ต้องการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดความยั่งยืน
7.1 ชาวบ้านในชุมชนชายฝั่งเกือบทั้งหมดขาดความรู้และความเข้าใจอย่างแท้จริงเกี่ยวกับนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและกฎหมายประมงที่บังคับใช้ในปัจจุบัน ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งรัดต่อการให้ความรู้และความเข้าใจเนื้อหาสาระของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต และการประกอบอาชีพของชุมชนชายฝั่งโดยเร่งด่วน
7.2 ควรมีการออกกฎหมายทางด้านการจัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่งเป็นการเฉพาะโดยเร่งด่วน ทั้งนี้ต้องมีการบรรจุสาระสำคัญทางด้านสิทธิชุมชนต่อการดำเนินงานจัดการทรัพยากรของชุมชนตนเองด้วย
7.3 ส่งเสริมการจัดตั้งกองทุนให้ชุมชนต่อการบริหารจัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่งอย่างมีประสิทธิภาพ
8 ภาพอนาคตชาวประมงพื้นบ้านในอีก 20 ปี ข้างหน้า
8.1 หากปล่อยให้ดำเนินการไปตามสถานการณ์ปัจจุบัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อชุมชนชายฝั่ง ได้แก่
1) ชาวประมงจับสัตว์น้ำได้น้อยลงทั้งชนิดและปริมาณ สัตว์น้ำบางชนิดอาจสูญพันธุ์ เนื่องจากพื้นที่ป่าชายเลนเสื่อมโทรมและลดลง การขยายพื้นที่อยู่อาศัย การสร้างโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น รวมทั้งกิจกรรมอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความเสียหายของระบบนิเวศชายฝั่งและการประมง
2) อาชีพและแรงงานการประมงมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากความฝืดเคืองในการประกอบอาชีพและการเคลื่อนย้ายไปทำงานภาคอุตสาหกรรม
3) ชุมชนชายฝั่งขาดความมั่นคงในชีวิต และมีคุณภาพชีวิตต่ำลงเนื่องจากปัญหาทั้งในด้านการแย่งทางด้านอาหารและทรัพยากรอื่นๆ การขาดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งการมีภาระหนี้สินเพิ่มเติม
4) เกิดภัยพิบัติในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการกัดเซาะชายฝั่งและมีมลพิษที่เพิ่มขึ้นทั้งในด้านความถี่และความรุนแรงส่งผลเสียหายต่อชุมชนชายฝั่งเป็นการต่อเนื่อง
8.2 ภาพในอนาคต 20 ปีที่พึงประสงค์ในภาพรวม ชุมชนชายฝั่งควรมีคุณภาพชีวิตที่ดีและไม่มีภาระหนี้สินเนื่องจาก
1) ทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์น้ำได้รับการอนุรักษ์และฟื้นฟูให้มีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น ทั้งภูมินิเวศต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ
2) ชุมชนชายฝั่งได้รับการยอมรับให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาศักยภาพตนเองและท้องถิ่นจนสามารถพึงพาตนเองได้อย่างแท้จริงภายใต้แนวคิดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
3) การมีนโยบายและกฎหมายในทุกระดับที่คำนึงถึงสิทธิชุมชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรในท้องถิ่นและเอื้อต่อการประกอบอาชีพของชุมชนชายฝั่ง
4) การส่งเสริมอาชีพและสร้างจิตสำนึกที่ดีแก่ชุมชนและเยาวชนเพื่อการยกรระดับคุณภาพชีวิตควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรทะเลและชายฝั่งของชุมชน
5) หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการประสานงานและบูรณาการอย่างแท้จริงต่อความเป็นอยู่ของชุมชนชายฝั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการประมง
9 การเปิดสังคมสู่ประชาคมอาเซียน
การเปิดสังคมสู่ประชาคมอาเซียนมีศักยภาพและข้อจำกัด รวมทั้งข้อเสนอจากชุมชนชายฝั่ง ดังนี้
ศักยภาพ |
ข้อจำกัด |
มีการเคลื่อนย้ายและแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีบางด้านที่ส่งเสริมการพัฒนาประเทศ |
มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับชุมชนและวัฒนธรรมของประเทศอาเซียนไม่มากเท่าที่ควร |
มีการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศที่ส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรระหว่างประเทศ |
กลุ่มทุนจากต่างประเทศมีโอกาสเข้ามาใช้ทรัพยากรในประเทศมากขึ้น |
ร่วมส่งเสริมบรรยากาศการเป็นครัวโลก เนื่องจากมีการขยายตลาดสินค้าประมงให้แพร่หลายออกไป |
การแย่งซึ่งทรัพยากรในด้านต่างๆ ทั้งการประมง การท่องเที่ยว อาชีพและแรงงาน |
การท่องเที่ยวเชิงนิเวศมีโอกาสได้รับความนิยมและขยายตัวเพิ่มขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้าน |
การแข่งขันด้านราคาสินค้าของประเทศต่างๆ |
ข้อเสนอเพิ่มเติม
1. ควรใช้วัฒนธรรมท้องถิ่นของแต่ละประเทศ เป็นเครื่องมือในการสื่อสารเรื่องราวเกี่ยวกับอาเซียน
2. ควรมีการแก้ไขปัญหาการจัดการทรัพยากรชายฝั่งระหว่างประเทศไทยและมาเลเซีย ในด้านเรือประมงสองสัญชาติ
3. ควรมีการเตรียมความพร้อมร่วมกันต่อการแก้ไขปัญหาหรือผลกระทบที่เกิดให้เพื่อการจัดการบริหารจัดการทรัพยากรชายฝั่งที่มีประสิทธิภาพ เช่น ปัญหาด้านขยะ ด้านการท่องเที่ยว
Last updated: 2013-04-07 09:04:11