.กลับถิ่นเกิดทุกทีบ้านยี่สาร
คิดถึง"พ่อ"ทรมานร้าวรานจิต
"ครูสำอางค์:โอภาส เวชกิจ"
สอนทำคิดรู้ผิดถูกลูกฝังใจ
.วันที่เจ็ดพฤษภาคราสามสาม
เจ็บปวดจำความผิดหวังครั้งยิ่งใหญ่
"พ่อ"มาด่วนจำพรากจากโลกไป
สุดอาลัยด้วยฉับพลันก่อนกาลควร
.ทิ้งเงินทองที่ดินทรัพย์สินไว้
กว่าพันไร่ป่าโกงกางทั้งนาสวน
ของมีค่าสะสมไว้นับไม่ถ้วน
ไร้ทางหวนกลับมาใช้ในชาตินี้
.ปล่อยแม่ช้ำกินน้ำตาพาหมองหม่น
ทุกข์แก่ลูกสิบสามคนล้นเหลือที่
ญาติพี่น้องหมองอุราท้นทวี
คนคลุกคลีแถวยี่สารนั้นอาลัย
.จำอย่างยิ่งหลายสิ่งดีที่"พ่อ"ทำ
ได้น้อมนำประยุกต์มางานป่าไม้
สร้างครอบครัวแน่นหนักมีหลักชัย
ไม่ยิ่งใหญ่แต่กล้าพบสบตาคน
."พ่อ"เป็นครูบ้านนอกออกถิ่นป่า
ยึดถือมาซื่อสัตย์ดีมีเหตุผล
สมถะสงบเสงี่ยมคอยเจียมตน
ใครขัดสนมีน้ำใจให้เมตตา
.หมั่นทำบุญหนุนศรัทธาถวายพระ
เป็นภาระงานพิธีมีทั่วหน้า
อิงศีลธรรมประจำใจใฝ่เรื่อยมา
ทุ่มชีวาพาเมียลูกสุขกายใจ
.ภาพสุดท้ายที่"พ่อ"สอนตอนตายจาก
เงินบาทเดียวเทียวใส่ปากฝากไม่ได้
แล้วไยโลภชุลมุนวุ่นทำไม
ตายเมื่อไรไปตัวเปล่าเช่นคราวมา
.ครูนิด วนศาสตร์(ชมรมสีเสียดแก่น)
www.lookforest.com
7 พ.ค.64
แรงดลใจ: หลังจากที่พ่อ-แม่(นายสำอางค์หรือโอภาส-นางสำเนียง เวชกิจ) ลาจากโลกไปแล้ว พี่น้องครอบครัวเรามีนัดกันในวันที่ 15 เมษายน ของทุกปีมาตลอด เพื่อร่วมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน รวมทั้งบรรพบุรุษ ที่ภูมิลำเนาเดิม คือวัดเขายี่สาร ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม กับทั้งถือโอกาสพบปะสังสรรค์ และแลกเปลี่ยนสารทุกข์สุขดิบกันไปในตัวด้วย บ่อยครั้งที่อดเย้าแหย่กันถึงความหลังเมื่อครั้งวัยเด็กร่วมกันไม่ได้ สร้างความชุ่มชื่นให้จิตใจพวกเรา
จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิดตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำให้พวกเราต้องงดกิจกรรมข้างต้นไป ต่างคนต่างทำตามสะดวก เพราะทางวัดแนะนำเพื่อให้ตอบสนองนโยบายของบ้านเมือง เช่นเดียวกับปีนี้ ทั้งที่ได้นัดหมายและจัดเตรียมกิจกรรมกันไว้ล่วงหน้าไว้หลายด้าน รู้สึกเสียดายมาก ด้วยพวกเราเองก็ต่างคนต่างมีภาระส่วนตัว ไม่ได้พบปะกันมานาน ได้แต่ทักทายกันในกลุ่มไลน์ของครอบครัวเวชกิจ แต่ก็ไม่ค่อยได้อรรถรสเท่ากับการได้พบเห็นหน้าตัวจริงเสียงจริงกัน
อย่างไรก็ตามในช่วงวันหยุดสงกรานต์ ได้ชวนคนที่บ้านและลูกถือโอกาสไปเยี่ยมพี่-น้องที่สมุทรสงคราม เพราะห่างเหินมานาน กับทั้งได้ไปคารวะอัฐิของพ่อ-แม่และบรรพบุรุษ ที่บรรจุไว้ในผนังในซุ้มประตูและกำแพงริมโบสถ์ของวัดเขายี่สาร รู้สึกอ้างว้างและหดหู่ใจอย่างเหลือเกินที่ขาดพี่น้องคนอื่นมาร่วมด้วย กับทั้งทำให้หวนคิดถึงพระคุณของพ่อ ที่นอกจากส่งเสียให้เรียน ช่วยสร้างฐานะ กับทั้งสิ่งที่พ่อสอนมาตลอดคือความซื่อสัตย์สุจริต และข้อคิดวันที่พ่อจากไป
ยังทรงจำได้ดีตลอดมา แม้เวลาผ่านไปกว่า 30 ปีแล้ว โดยเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2533 ราวเวลาเก้าโมงเช้า ขณะนั้นยังเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยของกรมป่าไม้ ได้รับโทรศัพท์จากพี่สาวคนรอง ซึ่งพอรับสายก็รู้โดยทันที่ ว่าต้องมีเรื่องชวนเศร้าใจของครอบครัวเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะมีเเต่เสียงร้องไห้ของพี่ คงเป็นด้วยจุกในลำคอจนพูดไม่ออก ทำให้ต้องตะโกนถามไป"ใครเป็นอะไรหรือเจ๊น้อย" สักพักจึงพอจับใจความได้ชัดเจนอย่างคาดไม่ถึงว่า "พ่อตายแล้ว เมื่อคืนนี้"
เหมือนสรรพสิ่งทั้งโลกหยุดไปชั่วขณะ มันเป็นไปได้อย่างไร พ่อเพิ่งปลดเกษียณจากครูมาไม่กี่ปี อายุแค่ 66-67 ปี กับทั้งไม่ได้มีโรคร้ายแรงประจำตัว ยังทำงานให้วัดมาตลอด ซ้ำเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา พ่อยังช่วยให้ข้อมูลชาวต่างประเทศของกรมป่าไม้ ที่มาขอดูงานด้านการปลูกสร้างสวนป่าไม้โกงกางของเอกชนของชาวบ้านยี่สาร โดยก่อนกลับพ่อยังตะโกนไล่หลังมาว่า "ที่เอ็งว่าจะแต่งงาน ตอนนี้ขายไม้ได้เงินแล้ว จัดการตามที่ตกลงกันไว้ได้เลยนะ จะเอายังไงก็บอกมาแล้วกัน"
รีบติดต่อนัดหมายกับพี่ชายคนโต ซึ่งทำงานอยู่สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง เพื่ออาศัยรถกลับบ้านยี่สารด้วย แต่โชคร้ายที่รถขัดข้อง ต้องใช้เวลาซ่อมพอควร กับทั้งถนนหนทางไม่สะดวกสบายเช่นทุกวันนี้ กว่าถึงบ้านที่ยี่สารก็ปาไปกว่าสี่โมงเย็น สงสารแม่อย่างจับใจ สีหน้าหมองหม่นนักด้วยความเศร้าสร้อย แต่ไม่ทุรนทุรายและคร่ำครวญอะไร แม่มาบอกทีหลังว่า ต้องพยายามฝืนเก็บอารมณ์อย่างหนัก เพื่อไม่ให้ลูกๆทั้ง 13 คน ต้องเสียขวัญมากขึ้น
กว่าพี่น้องทุกคนมาครบถ้วนหน้าก็กว่า 5 โมงเย็น จึงเริ่มมีการทำพิธีการตามธรรมเนียมที่บ้านนั่นเอง เพราะคาดว่าพ่อคงสิ้นลมตอนกลางดึกหลายชั่วโมงแล้ว จากอาการหัวใจวายเฉียบพลัน หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าใหลตาย ดังนั้นสภาพร่างกายจึงแข็งทื่อไปหมด การมัดตราสังเป็นไปด้วยความลำบาก สิ่งที่คาดไม่ถึง ก็คือ เมื่อสัปเหร่อให้น้องชายคนเล็กเอาเงินเหรียญบาทหรือเงินปากผีใส่ในปากพ่อ แต่ไม่สามารถง้างปากใส่ให้ได้แม้พยายามกันอย่างเต็มที่ สุดท้ายต้องแปะไว้ที่ริมฝีปากเท่านั้น
วินาทีที่เห็นภาพเหรียญบาทคาปากพ่อ ทำให้ฉุกคิดซึ่งตัวเองถือว่าเป็นบทเรียนที่พ่อสอนให้เป็นครั้งสุดท้าย กับทั้งทรงจำและใช้เป็นสิ่งเตือนใจมาจนทุกวันนี้ ทั้งในชีวิตการทำงานป่าไม้และที่ มสธ. รวมทั้งการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป โดยแม้พ่อเป็นแค่ครูประชาบาล เงินเดือนไม่มากเลย แต่พ่อมีที่ดินมากกว่า 1,000 ไร่ ทั้งที่เป็นสวนป่าโกงกาง และให้คนเช่าทำนา ทำสวน และทำไร่ในจังหวัดสมุทรสงครามและข้างเคียง รวมทั้งมีเงินทองและทรัพย์สินอื่นๆอีกมากมายมหาศาล แต่ตอนพ่อตายไป แม้เงินบาทเดียวก็เอาไปไม่ได้ คงเหลืออยู่แต่เกียรติยศและความดีที่สร้างไว้ให้บ้านยี่สารและสังคมทั่วไปเท่านั้น
วันนี้(7 พฤษภาคม 2564) ครบ 31 ปีที่พ่อจากไป ยังทรงจำภาพวันพ่อตายเหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อวันวาน นับว่าเป็นบุญเหลือเกินที่ชาตินี้ได้เกิดมาเป็นลูกครูอางค์(คำที่คนยี่สารเรียกขานพ่อ) ทั้งขอยึดทำตามที่พ่อสอนไว้ตราบจนตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ กับได้ตั้งจิตอธิษฐานมาโดยตลอดว่าขอเกิดมาเป็นลูกของพ่อและแม่ในชาติต่อๆไป เพื่อมีแบบอย่างที่ดีต่อการใช้ชีวิตบนเส้นทางที่ซื่อสัตย์และมีความพอเพียงเหมือนพ่อ กอปรด้วยความเป็นธรรมและไม่เอาเปรียบใครเหมือนแม่ที่ได้เห็นมาตลอดชีวิตนี้