เยือนถิ่นเก่าคราวบรรจุสระบุรี
เยี่ยมน้องพี่พวกเราชาวป่าไม้
ได้เจอ"ติ๋ม"คนงานสะท้านใจ
พาหวั่นไหวปลงจิตอนิจจา
จากสาวรุ่นเอิบอิ่มเคยยิ้มแย้ม
ทรวงแฉล้มปานเทพีแม่ศรีป่า
เริ่มผิวคล้ำเหี่ยวย่นไปใกล้ชรา
แซมไฝฝ้ากระดำตามเนื้อตัว
ทั้งแม่พ่อพี่น้องเคยครองสุข
บ้างสิ้นทุกข์บ้างย้ายพรากจากไปทั่ว
แม้ลูกสองต้องแตกแยกครอบครัว
เหลือเพียงผัวฝากผีไข้ไว้ด้วยกัน
กายแข็งแรงแกร่งกล้าพาสู้ไป
พร้อมฟันฝ่างานป่าไม้ไม่ไหวหวั่น
แม้ขุดดินถางหญ้าสารพัน
มาถึงวันดูอ่อนล้าพาโรยแรง
เพียงบางสิ่งยืนยง"ติ๋ม"คงอยู่
ใจยังสู้เหลือล้นตาโชนแสง
รู้เจียมตัวตามท่าทีที่สำแดง
ไมตรีแฝงด้วยสัตย์ซื่อยึดถือนัก
ถึงมีนายป่าไม้เปลี่ยนหลายคน
ยังเปี่ยมล้นให้"อ.ต๋อง*"ครองใจภักดิ์
รู้สิ้นกรรมพร่ำไห้หาอาลัยรัก
ด้วยประจักษ์ในความดีมิเสื่อมคลาย
สี่สิบปี"ติ๋ม"เป็นแต่แค่คนงาน
ที่ดักดานทำเพื่อป่ามาหลากหลาย
ก่อประโยชน์ราชการอันมากมาย
จะมีนายสักกี่คนที่สนใจ
ปีหน้า"ติ๋ม"ต้องลาเกษียณงาน
เงินบำเหน็จบำนาญนั้นไม่ได้
จำตากหน้าหางานซมซานไป
แลกเงินใช้ตามวิถีที่เผชิญ
.ครูนิด
วนศาสตร์(ชมรมสีเสียดแก่น)
www.lookforest.com
หมายเหตุ *"อ.ต๋อง" คือ "รศ.ดร.มณฑล
จำเริญพฤกษ์" ที่เคยบรรจุรับราชการครั้งแรกราวปี พ.ศ.2522
ที่สำนักงานป่าไม้เขตสระบุรี กรมป่าไม้ในขณะนั้น
(ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1
สาขาสระบุรี กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช) ซึ่งได้รับการมอบหมายให้ทำหน้าที่หัวหน้าสถานีวนกรรมภาคกลาง(พุแค)
ที่เหล่าคนงานรวมทั้ง"ติ๋ม"และครอบครัวให้ความเคารพ
นับถือและศรัทธาในความดีเป็นอย่างมากจนถึงทุกวันนี้
แรงดลใจ:
เมื่อ 3-4 สิงหาคม 2561
ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสกลับไปเยือนถิ่นเก่า สมัยเคยทำงานที่สระบุรีอีกครั้ง
ได้มีโอกาสพบปะเกลอเก่าหลายคน
ก็ไม่พ้นในการทบทวนอดีตเก่าในชีวิตป่าไม้ที่เคยผ่านมา
ทั้งทุกข์และสุขคละเคล้ากันไป เสียดายเหลือเกินที่เวลาล่วงเลยไปเร็วยิ่งนัก
จากหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่เคยปราดเปรียวและคล่องแคล่วปานพยัคฆ์เจ้าป่า กลับกลายเป็นคน
สว.ที่(ค่อนข้าง)งุ่มง่ามและเฉื่อยชาเหมือนหมูแก่อุ้ยอ้าย เกือบ 40 ปีที่ผ่านมาโลกนี้ช่างหมุนเร็วเหลือเกิน
จนอยากจะหยุดโลกนี้ไม่ให้เคลื่อนที่ไปอีก เพราะยังประสงค์แสวงสุขต่อไปอีก
ตามประสามนุษย์ที่ยังมีไฟ(ในทรวง)
แต่ก็ยังดีใจที่ได้ตักตวงประสบการณ์ป่าไม้จากสระบุรีมาปรับใช้จนถึงปัจจุบัน
มางวดนี้ที่พลาดไม่ได้ ก็คือ ต้องแวะสัมผัสกับงาน
"ชิมเพลิน เดินไพร ประชารัฐสระบุรี"
ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ภายในสวนพฤกษศาสตร์พุแค
ซึ่งตอนนี้ได้ประกาศให้เป็นป่าในเมืองตามนโยบายรัฐบาลยุค คสช.อีกด้วย ทั้งนี้เพราะ
ท่านสรัชชา สุริยกุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1
สาขาสระบุรี เชื้อเชิญให้ไปสัมผัสของดี ก่อนที่ท่านจะเดินทางไปรับตำแหน่งสูงขึ้น
เป็นผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเพราะบรรยากาศร่มรื่น
สามารถชมและเลือกสินค้าที่มีหลายชนิด ยังได้ซื้อหาของกินหลายรายการกลับมาปรุงพร้อมฝากคนทางกรุงเทพฯ
ขอบอกว่าผู้รักสุขภาพไม่ควรพลาด
โชคดีที่ได้พบ"ติ๋ม"แบบบังเอิญ
ด้วยห่างเหินกันนานเหลือเกินกว่า 30 ปี
ยังคงจดจำภาพสมัยรู้จักครั้งแรกได้เป็นอย่างดี
ตอนนั้นไปบรรจุเป็นข้าราชการป่าไม้ที่สระบุรี พ่อ-แม่ พี่ๆ สามี(ดม) และตัว"ติ๋ม"เองทำงานเป็นคนงานป่าไม้ในตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราว
กล่าวได้ว่าในขณะนั้นเป็นครอบครัวที่อบอุ่นอยู่ระดับหนึ่ง
โดยลุงเจือผู้เป็นพ่อเป็นผู้นำครอบครัวที่เข้มแข็ง เป็นคนที่มีความจริงใจ อดทน
ซื่อสัตย์และมีน้ำใจ กับทั้งพยายามชักจูงให้ลูกหลานดำเนินรอยตาม
เราสนทนากันด้วยความดีใจ
"ติ๋ม"เล่าว่ายังคงวนเวียนทำงานเป็นคนงานป่าไม้มาโดยตลอด
สุดท้ายได้มาเป็นคนงานของสวนพฤกษศาสตร์พุแค
หลายคำพูดของ"ติ๋ม"ที่น่าสนใจคือ
"เพิ่งมารู้ทีหลังว่าอาจารย์มณฑลเสีย ม่ายงั้นต้องไปเผาแกที่กรุงเทพฯให้ได้
แม้ว่าอยู่ที่ไหนก็จะไปเผา น่าเสียดาย แกเป็นคนดี ไม่น่าอายุสั้น"
"ติ๋ม"กล่าวด้วยเสียงสั่น ในขณะที่มือป้ายน้ำตาไป
"พอรู้ข่าวก็ทำบุญไปให้แก วันนั้นภาวนาให้แกมาหา พอกลางคืนนอนหลับ
ฝันว่าแกมาจริงๆ ถามว่าหัวหน้ามาทำไม แกตอบว่า ก็ติ๋มให้มาหาไม่ใช่หรือ
มีอะไรไหม" ดูแววตา"ติ๋ม"มีประกายขึ้นอาจเป็นด้วยแรงศรัทธาที่มีต่อแก
"พอพ่อเสียไปไม่นาน แม่มาล้มป่วยนอนเป็นอัมพฤกษ์อยู่นาน ต้องดูแลแกตลอด
ช่วงนั้นเจอเคราะห์กรรมหลายอย่าง ชีวิตสาหัสเหลือเกิน โชคดีที่ผ่านพ้นมาได้"
"ลูกๆเขามีครอบครัวแยกไปหมด ก็ไม่ค่อยมั่นคงนัก พี่ดมพอเกษียณ
ก็ทำงานอยู่บ้าน ซื้อที่แปลงเล็กๆอยู่ข้างสถานีวิจัยถ่าน ปีหน้าติ๋มก็เกษียณแล้ว
ก็คงหาอะไรทำไปพอเลี้ยงตัวได้"
ทำให้ระลึกได้ว่าเป็นคนเกิดปีเดียวกับ"ติ๋ม"
"ปีที่แล้ว ที่มาจัดงานเลี้ยงเกษียณอาจารย์มณฑล ก็มีคนบอกนะ
แต่ไม่กล้าเข้าไปหา มันต่างกับสมัยก่อนเหลือเกิน"
"ติ๋ม"คงหมายถึงสถานภาพทางสังคมที่แตกต่างกัน
ทั้งที่กลุ่มพวกเราชาวสีเสียดแก่นยังมีความรู้สึกผูกพันเหมือนเดิม
ด้วยบ่อยครั้งที่พวกเรามักคุยกันถึงอดีตที่สระบุรี
ซึ่งได้พยายามอธิบายให้"ติ๋ม"รับรู้
"รูัว่าพวกอาจารย์และหัวหน้าทุกคนเหมือนเดิม แต่ไม่กล้าไปหาหรอก
เดี๋ยวคนอื่นเขาจะว่าเอา" "ติ๋ม"สะท้อนความรู้สึกด้วยความเจียมตัว
แต่แฝงด้วยความจริงบางอย่างที่ทำให้อดเก็บเอามาคิดในภายหลังไม่ได้
คนในสังคมไทยเรายังมีความแตกต่างกันอย่างมากมายเกินคาดคิด
หลายคนที่เป็นคนดีและมุ่งมั่นทำงานเพื่อวงการป่าไม้และสร้างฐานะทางครอบครัวอย่างเหลือเกิน
อาจไม่มีโอกาสต่อความก้าวหน้าและประสบความสำเร็จในชีวิตมากนัก
ซ้ำบางครั้งยังดูเหมือนว่าถอยหลังลงคลองเสียด้วยซ้ำไป เช่นกรณีของ"ติ๋ม"ข้างตัน
ในขณะที่หลายคนกับเสวยสุขอย่างเหลือเกินทั้งที่ไม่ได้ทุ่มเทให้วงการป่าไม้มากนัก
กับทั้งบางโอกาสยังเป็นผู้ตักตวงผลประโยชน์
อันทำลายระบบและกลไกที่ดีของวงการป่าไม้อย่างน่าขยะแขยงอีกด้วย
อีกนานสักเพียงไหนหนอที่คนระดับรากหญ้าของชาวป่าไม้เรา
จะได้มีโอกาสก้าวหน้าในเส้นทางของชีวิตมากกว่าที่ผ่านมาและเป็นอยู่ในปัจจุบัน
คงไม่ต้องมากหรือเลิศหรูเท่าข้าราชการ
แต่ให้มีฐานะทางเศรษฐกิจและศักดิ์ศรีของมนุษย์ที่ใกล้เคียงกับคนงานภาคเอกชนก็ยังดี
Last updated: 2018-08-14 09:45:42