พ.ศ. 2516..........
ณ บันไดขั้นสุดท้ายของตึกกรมป่าไม้ตึกแรกหลังอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 พระองค์ผู้ก่อตั้งกรมป่าไม้มา พวกเราหลังจากกินข้าวเที่ยวที่หลังกรมป่าไม้แล้ว ต่างคนต่างก็มานั่งสังสรรค์ คุยกันเรื่องสับเพเหระแล้วแต่ใครจะหยิบยกเรื่องอะไรมาเริ่มต้นก่อน.....ขณะที่พวกเราจำนวนประมาณ 8-10 คน นั่งสนทนากันอย่างออกรสอยู่นั้นก็ปรากฏร่างหนึ่งมายืนฟังเราอยู่ด้านหลัง ขณะนั้นพอดีข้าพเจ้าหันไปข้างหลัง จึงได้ร้องทักไปว่า.......
เทพเป็นอย่างไร เพื่อนงานยุ่งหรือเปล่า ผู้ที่เป็นอาคันตุกะมาเยือนตอบคำถามข้าพเจ้าว่า.........
งานไม่มีปัญหาอะไรไปเรื่อย ๆ แล้วทศละเมื่อไรกรมจะเรียกเสียที ข้าพเจ้าตอบเพื่อนเทพไปอย่างเนือย ๆ ว่า.......
ยังไม่รู้ชะตากรรมเลย รอแล้วรออีกอยู่นี้แหละ ข้าพเจ้าตอบเพื่อนไปแล้วทำให้ระลึกย้อนไปในอดีต ตอนนั้น เราจบกันมาใหม่ ๆ คาดหวังเต็มที่จะได้ทำงานโดยไม่ต้องรบกวนทางบ้าน พวกเรารุ่น 34 จบประมาณร้อยเศษพากันมาสมัครงานที่กรมป่าไม้ ปรากฏได้รับคำตอบว่ากรมป่าไม้ไม่มีตำแหน่งให้มีแต่ตำแหน่งเจ้าพนักงานป่าไม้จัตวา ตำแหน่งนักวิชาการป่าไม้ ก.พ. ไม่อนุมัติมาให้ และกรมป่าไม้ก็ไม่มีข้อผูกพันกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในเรื่องตำแหน่งแต่อย่างใด......ในข้อเท็จจริงในสมัยนั้นมหาวิทยาลัยก็ตั้งหน้าตั้งตาผลิตบัณฑิตจริง ๆ โดยไม่คำนึงว่าความต้องการของตลาดจะมีหรือไม่ พวกเราจบมาเลยต้องเป็นบัณฑิตตกงาน ทั้ง ๆ ที่ในสมัยนั้นกรมป่าไม้ยังขาดอัตรากำลังอยู่มากทีเดียว......มีเพื่อนวีระเทพเท่านั้นที่จบมาก่อนเลยได้เป็นลูกจ้างกรมฯ ในหน่วยชันสนทำให้พวกเราอดที่จะอิจฉาไม่ได้......แต่ก็ยังดีที่กรมป่าไม้ยังจ้างพวกเราเป็นลูกจ้างชั่วคราวรายวัน บางคนต้องไปเป็นลูกจ้างสวนป่า บางพวกไปอยู่หน่วยป่าชายเลน อยู่ตามหน่วยปรับปรุงต้นน้ำ หายเข้าป่าไปเลยก็มี พวกที่สะโอดสะโองก็เป็นลูกจ้างอยู่ในกรมป่าไม้ ตามแผนกต่าง ๆ แล้วแต่ใครจะเลือกไปทางไหน สำหรับข้าพเจ้าออกจะพิสมัยเมืองกรุงมากไปหน่อย เลยอาสาเป็นลูกจ้างในกรมฯ..........พวกเราตกงานมาหลายเดือนแล้ว ตอนนี้ไม่มีเวลามาคิดอะไร มีอะไรคว้าไว้ก่อน.. งานที่ข้าพเจ้าได้เข้าไปทำนั้นอยู่แผนกวางแผน ซึ่งในหน่วยงานนี้รวบรวมไว้ซึ่งจอมยุทธมีพี่วัฒนา แก้วกำเนิด เป็นหัวเรือใหญ่ตามด้วยพี่ประพัตร แสงสกุล กระบี่มือรองก็มี พี่ดนัย พี่จีระเจตน์ บุคคลที่พวกเราลืมไม่ได้เลยคือพี่จ็อด กระบี่มือบ๊วยก็มีพี่อนุชิต พี่มงคล ต้องขออภัยที่เอ่ยนามทุกท่าน....จะไม่ลืมเลยในความเอื้ออาทรของพี่ ขอโค้งคารวะไว้ ณ ที่นี้ สำหรับพวกเราชาวเสี่ยวเอ้อนั้น ประกอบไปด้วยพวกที่หลงใหลในแสงสีของเมืองกรุงทั้งนั้น....อาทิเช่น ท่านวิสูตร ท่านสุเทพ ท่านไพรัช ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงชื่อและร่างแล้ว หรือยังหวังว่าเพื่อนคงจะรู้กันดีทุกคนแล้ว.....ท่านสำคัญอีกหลายท่านกระจัดกระจายอยู่ตามกรมกองต่าง ๆ หากข้าพเจ้ามิได้กล่าวไว้ ณ ที่นี้ก็ขออภัยมณีมา ณ ที่นี้ด้วย..... มากล่าวถึงความเป็นอยู่และพฤติกรรมของพวกเราในงานแผนงานก่อนก็แล้วกัน....พวกเราคงจะจำได้ดีว่าเราเป็นลูกจ้างกรมป่าไม้รับเงินเดือนเฉลี่ยคนละ 600 บาทต่อเดือน อะไรก็ไม่สำคัญตรงที่ว่ารับเงินเป็นครึ่งปีคือ 6 เดือนรับที จึงเดือดร้อนตาม ๆ กันเพราะเรียนจบแล้งยังต้องอาศัยเงินทางบ้านอยู่...... น่าเวทนายิ่งนัก แต่พวกเราก็ต้องทนเพราะไม่มีทางไป เราไม่ได้เรียนมาทางสายอาชีพโดยตรงหางานยาก... แต่ก็มีหลายท่านได้เดินทางไปเป็นนายแบ็งก์เป็นเสี่ยไปก็หลายคน มาย้อนยุคกันต่อดีกว่าพวกเราที่อยู่แผนกวางแผนในสมัยนั้นเป็นปีที่รัฐบาลให้สัมปทานกับเอกชนในการทำไม้อายุ 30 ปี เริ่มมีการจัดตั้งบริษัททำไม้ โดยแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้เอกชน และองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ไม่มีหุ้นโดยรวมตัวจัดตั้งเป็นบริษัทจังหวัดทำไม้จำกัด ได้สัมปทานป่าโครงการไปแล้วแต่จังหวัดใดจะมีป่าไม้มาก โดยใช้หลักการใช้ไม้แบบยั่งยืน..... แบ่งเกรดไม้ออกเป็นสามเกรด ไม้เฒ่าวายน้ำมัน หรือใกล้อายุขัยให้ทำออก.... ไม้วัยฉกรรจ์รอไว้ 30 ปี แล้วค่อยทำออก ส่วนไม้ละอ่อนรอให้โตตามรุ่นพี่ พอถึงเวลาก็จะต้องถูกเชือดเช่นเดียวกัน..... ตามโมเดลแล้วมีการกำหนดป่าที่จะทำออกเป็น 1 โครงการ ในหนึ่งโครงการเราจะพยายามแบ่งแปลงออกให้เท่ากันโดยใช้เนื้อที่เป็นเกณฑ์...โดยแบ่งออกเป็น 10 ตอน ในแต่ละตอนจะแบ่งออกเป็นแปลงได้ตอนละ 3 แปลง รวมทั้งสิ้นจะได้เบ็ดเสร็จจำนวน 30 แปลงพอดี โดยจะเริ่มทำไม้ในตอนที่ 1 แปลงที่ 1 วนไปจนครบ 30 แปลง เป็นเวลา 30 ปีพอดี ไม้วัยรุ่นก็จะโตตามมาให้รอเชือดพอดี ที่กล่าวมานี้เป็นวิชาการนะท่านทั้งหลาย เมื่อปฏิบัติแล้วมิได้เป็นไปดังฝันกลางฤดูฝน สัมปทานทั้งหลายจึงได้ยุติลงเมื่อปี 2532.......
มาต่อกันที่หน้าที่ในการเป็นลูกจ้างกรมฯของพวกเราทั้งห้าตัวละครต่อไปได้แล้ว....วันแรกที่เราเข้าไปรายงานตัวกับหัวหน้าแผนก ท่านได้ให้โอวาทอันเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับพวกเราทั้ง 5 คน หลักการแรกที่ท่านวัฒนาได้ให้กับเราได้แก่......
พวกเราทั้ง 5 คน จงจำไว้ให้แม่นทีเดียวเลยว่ารักจะเป็นคนราชการ สิ่งแรกและสิ่งสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ.......งานหนังสือราชการต้องเป็น และการที่จะเป็นหนังสือราชการนั้นหัวใจสำคัญก็คือ....เรื่องเดิม ต้องทำความเข้าใจกับมันอย่างเข้าใจจริง..... ในตอนแรกที่เริ่มงานยังคิดไม่ออกว่ามันสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ จนมาใกล้จะเกษียณ จึงได้เกิดดวงตาเห็นธรรม.....แล้วท่านก็อบรมอะไรต่อมิอะไรที่เป็นประโยชน์สำหรับเรามากแต่ในห้วงเวลานั้นยังไม่ซึมซับอะไรมากนักเพราะยังเยาว์ต่อโลกอ่อนต่อโลก....เมื่อเราได้ศึกษาแฟ้มเรื่องเดิมต่าง ๆ ที่บรรดาพี่ยกมาให้ในชั้นแรกไม่ใคร่จะเข้าใจอะไรมากนัก ความที่ดูทุกวันเริ่มจับประเด็นได้...พี่ก็มอบงานตรวจบัญชีไม้ให้คัดแยกชนิด ต่อมาก็เริ่มนำแผนที่และแผ่นใสพร้อมปากกาคอแร้งมาให้แล้วเริ่มอธิบายให้เราเข้าใจในการลอกแผนที่พี่ ๆ ได้แบ่งแปลงโครงการไว้เรียบร้อยแล้วในสมัยนั้นห้องแผนงานเล็กมากไม่สามารถบรรจุพวกเราเข้าไปไว้ได้ แต่ดีที่ห้องแผนงานติดอยู่กับห้องสมุดของกรมฯ จึงทำให้พวกเรามีที่นั่งทำงาน...หน้าที่ของเราในตอนนี้ไม่ต้องใช้ความรู้ความสามารถอะไร เพราะจะใช้เพียงขอให้มีลายมือสวยเป็นใช้ได้ พี่ ๆ เริ่มนำแผนที่ทหาร 1:50,000 และกระดาษแผ่นใสมาให้สำหรับแผนที่นั้น พี่ ๆ ทั้งหลายได้ใช้ดินสอกำหนดพื้นที่เป็นป่าโครงการแบ่งเนื้อที่ออกเป็น 10 ตอน แล้วเริ่มให้พวกเราลอกแผนที่โดยใช้กระดาษใสวางทาบโดยให้ลอกถนน หมู่บ้าน แม่น้ำ แล้วเขียนชื่อหมู่บ้าน ถนน ลำห้วยลงไปโดยพยายามให้เป็นลายมือที่อ่านชัดและสวย พวกเราที่อยู่ในนั้นมีที่ลายมือเขียนตัวธรรมดาอยู่แล้ว 4 คนด้วยกัน ได้แก่ เพื่อนไพรัช เพื่อนสุเทพ เพื่อนนันทศักดิ์ และเพื่อนวิสูตร สำหรับข้าพเจ้านั้นมีดีกรีเป็นถึงศิลปกรรมสโมสรวนศาสตร์ จึงรับภาระเป็นผู้เขียนหัวกระดาษด้วยปากกาคอแร้งปากแบน เมื่อบรรดาเพื่อนลอกแผนที่เสร็จก็จะส่งมาให้ข้าพเจ้าเขียนหัวว่าเป็นป่าโครงการอะไร สำหรับข้างล่างจะเขียนว่าใครเป็นผู้ให้สัมปทานและให้กับบริษัทใด เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วจะตีกรอบป่าโครงการเป็นรูปสี่เหลี่ยมเป็นเสร็จพิธีการ....ในตอนแรกพวกเราไม่เข้าใจว่าจะลอกแผนที่ไปทำอะไรมีความสำคัญอย่างไร พวกเราก็ตั้งหน้าตั้งตาลอกแผนที่แผ่นแล้วแผ่นเล่าให้พี่อย่างเต็มความสามารถ....มารู้เอาตอนหลังว่า สิ่งที่เราทำกันอยู่นี้คือขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าก็อีตอนที่มีชายวัยกลางคนเชื้อสายจีนมาพบกับข้าพเจ้าที่ห้องสมุด....โดยชายผู้นี้ได้เดินดูรอบ ๆ โต๊ะที่พวกเราคัดลอกแผนที่แล้วมาหยุดอยู่ที่แผนที่ข้าพเจ้ากำลังเขียนใกล้จะเสร็จสิ้นลงแล้ว....ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกว่ามีสิ่งแปลกปลอมมายืนอยู่ข้าง ๆ และคงไม่ใช่พวกเราคนใดคนหนึ่งเป็นแน่ จึงหันหลังกลับไปดู พอดีกับชายผู้นั้นได้เอ่ยปากถามข้าพเจ้าว่า......
หนุ่มแผนที่แผ่นนี้เสร็จแล้วใช่หรือไม่?
ใกล้แล้วเหลือแต่ตัดขอบก็สมบูรณ์
ข้าพเจ้าตอบชายผู้นั้นไปแบบไม่ได้สนใจหรือคิดอะไรเกินกว่าที่ว่ามีคนมาดูเราวาดรูปแต่ความหมายของมันหาเป็นเช่นนั้นไม่....ชายผู้นั้นยังถามต่อไปอีก.....
ผมขอไปถ่ายเอกสารชั่วคราวก่อนได้ไหมละ
หรือคุณลอกแผ่นใหม่ แผ่นนี้ให้ผมไปก่อน
ข้าพเจ้าตกตะลึง แต่มิได้แสดงอาการออกมาแต่อย่างใด คิดในใจว่าชายนิรนามคนนี้เป็นใคร มีวัตถุประสงค์ในทางดีหรือทางร้าย ข้าพเจ้านิ่งไปพักใหญ่จึงตอบไปว่า....
ผมไม่มีอำนาจอะไรที่มอบแผนที่ให้กับใครโดยพละการ ขอให้คุณไปติดต่อกับพี่อนุชิตดีกว่า
ผมไปตามหาคุณอนุชิตแล้ววันนี้ไม่มาทำงาน พรุ่งนี้ถึงจะมา ผมรอไม่ได้ต้องรีบกลับบ้าน
ชายผู้นั้นให้เหตุผลและพยายามที่จะต่อรองขอแผนที่จากข้าพเจ้าให้ได้ โดยอ้างสารพัดเหตุผลว่าตนสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่ในแผนกแผนงานทุกคน พอรู้ว่าข้าพเจ้ายืนกรานที่จะไม่ยอมมอบแผนที่ให้แน่นอนจึงยื่นไม้ตายทันที....
ถ้าคุณให้แผนที่แผ่นนี้ผมเดี๋ยวนี้ ผมจ่าย 5,000 บาท ทันที
ข้าพเจ้าตกตะลึงเป็นครั้งที่ 2 ในใจนึกว่าแผนที่นี้มันเป็นแผนที่อะไร เป็นลายแทงมหาสมบัติของกษัตริย์องค์ใดซ่อนไว้หรือเปล่า ไม่น่าใช่ นี่มันเป็นโลกยุคเหยียบดวงจันทร์แล้ว นั้นมันนิยาย ใจหนึ่งก็นึกว่าเงินไม่น้อยเลย เงินเดือนในสมัยนั้นลูกจ้างเดือนละ 600 บาทเท่านั้น ความโลภอันเป็นกิเลศของมนุษย์ทุกผู้ทุกนามเริ่มมาเยือนข้าพเจ้าแล้ว บนเส้นยาแดงระหว่างกุศลจิตกับอกุศลจิตเริ่มงานของมันแล้ว ถึงแม้ว่าในขณะนั้นข้าพเจ้าจะอยู่ในฐานะอดหยาก หิวโหยไม่มีจะกิน เพื่อที่จะนำมาอ้างก็ใช่เหตุผลที่จะนำมาหักล้างการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบและความสุจริตใจต่อตนเองและผู้อื่นมิได้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าแผนที่นี้เป็นคุณหรือเป็นโทษต่อใคร ถึงแม้ให้ไปก็มิได้ทำให้ทางราชการเสียหายหรือไม่ ข้าพเจ้าตัดสินใจทันทีโดยไม่ปรึกษาใครทั้งสิ้น เพราะความละอายต่อบาปมันชนะแล้ว.....
ผมให้คุณไม่ได้หรอกเพราะพี่อนุชิตไม่ได้สั่งไว้ คุณมาวันหลังดีกว่า
ชายผู้นั้นเมื่อรับทราบแล้วก็มิได้ตอแยข้าพเจ้าอีกเลย เดินออกจากห้องสมุดไปด้วยอาการอันสงบ ชั่วอึดใจหนึ่งข้าพเจ้าทนไม่ได้จึงได้ออกจากห้องเพื่อตามไปดูและถามพี่ ๆ ในแผนกว่ามีใครมาฟ้องหัวหน้าหรือเปล่า ปรากฏว่าไม่มีใครพบชายรูปร่างลักษณะตามที่ข้าพเจ้าเล่าให้ฟังแต่ประการใด โล่งอกไปทีนึกว่าโดนตำหนิแน่คราวนี้......เหตุการณ์ครั้งนั้นต่อมาอีกประมาณหนึ่งเดือนข้าพเจ้าจึงกระจ่างในเหตุการณ์และพฤติการณ์ประหลาดเหล่านั้น......
......เรื่องที่ข้าพเจ้าประสบพบเห็นในครั้งนั้นยังคงติดตาตรึงใจและสร้างข้อกังขาความสงสัยให้แก่ข้าพเจ้าเป็นลำดับจะถามใครก็ไม่กล้าถามเพราะตระหนักว่ามีทั้งผลบวกและผลลบ คนที่ไม่เข้าใจคิดว่าข้าพเจ้ากระทำการไม่ซื่อสัตย์ต่อหน่วยงานและวิชาชีพ......ข้าพเจ้าให้ชื่อปริศนา เรื่องนี้ในใจของข้าพเจ้าว่า ลายแทงข้อข้องใจ แผนที่มันสำคัญอย่างไร ถ้ามันมีค่าและเป็นความลับของทางราชการ
Last updated: 2015-04-04 08:06:42