ทำธุรกิจต้องคุ้มค่า ช่วยคนไม่ต้องคิดเรื่องคุ้ม
 
     
 
คนภาชี
น่าเห็นใจกับการที่คนนอกถิ่นได้สร้าง ...ช้ำสุดทน "คนภาชี"... ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดยการแอบลักลอบเอากากของเสียจากอุตสาหกรรม มาเก็บไว้ในโกดังอย่างมากมายที่สร้างมลพิษ กับทั้งเกิดเพลิงไหม้ที่สร้างอันตรายและความทุกข์ระทมให้อย่างมากมายจนถึงทุกวันนี้...
 

ช้ำสุดทน”คนภาชี”

 

.คนท้องถิ่น“ภาชี”นี้ชอกช้ำ
มารับกรรมเศร้าซมตรมเหลือที่
เคยสุขแท้แต่โบราณมานานปี
ตามวิถีมีของไทยทำไร่นา

 

.ด้วยมีคนแอบสร้างตั้งโกดัง
ด้วยมุ่งหวังมหาศาลด้านการค้า
หาประโยชน์เพื่อตนฉ้อฉลมา
ไร้นำพาความเสียหายให้สังคม

 

.กากของเสียสารเคมีอุตสาหกรรม
ลักลอบทำนำขนมาเก็บสะสม
ยิ่งนานวันพอกพูนไปคล้ายเงื่อนปม
ซวยบรมมากมายหลายพันตัน

 

.พาดิน-น้ำ-ลม-ไฟเกิดภัยแท้
กระจายแผ่แพร่เนื่องมาทุกข์มหันต์
หลายหน่วยงานเคยสำรวจตรวจสอบกัน
ท่าแข็งขันพลันเงียบหายให้หม่นใจ

 

.ยิ่งโกดังเกิดเพลิงไหม้ให้แก๊สพิษ
เหม็นเกินคิดชีวิตคนเกินทนได้
อพยพจากพื้นที่หนีออกไกล
ทั้งคนไข้-เฒ่าชรา-เด็ก-พระ-ชี

 
.ชาว“ภาชี”หวาดผวามารับกรรม
คนนอกย้ำนำมาให้ในถิ่นที่
ชีพเคยสุขกลับทุกข์ร้ายในชีวี
วอนช่วยทีปัญหาคลายได้บุญนัก


.ครูนิด วนศาสตร์(ชมรมสีเสียดแก่น)
www.lookforest.com

 

หมายเหตุ: ขอบพระคุณเจ้าของภาพและข่าวประกอบ

แรงดลใจ: หลังเกษียณอายุราชการมีรุ่นน้องวนศาสตร์คนหนึ่งได้กลับไปสร้างบ้านอยู่ในถิ่นกำเนิดที่อำเภอภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา ได้ระบายความทุกข์ใจให้ฟัง ตอนหนึ่งที่น่าขมขื่นใจแทน ก็คือ

“ผมเบื่อชีวิตในเมืองมาก จึงตัดสินใจชวนคนที่บ้านไปใช้ชีวิตหลังเกษียณที่ภาชี อุตส่าห์เอาเงินสะสมที่พอมีไปสร้างบ้านในที่ดินที่พ่อแม่ยกให้ อยู่ได้ไม่นานก็มีกลิ่นเหม็นคล้ายพวกสารเคมี จากโกดังเก็บขยะในพื้นที่ข้างเคียงมาเป็นระยะๆ บางทีหายใจแทบไม่ได้ ยิ่งช่วงเกิดเพลิงไหม้โกดัง ยิ่งเหม็นมากจนแสบจมูกทำให้ต้องตัดสินใจย้ายไปพักที่อื่นชั่วคราว พอกลับมาต้องซักเสื้อผ้าใหม่ทั้งหมด แล้วต้องทำความสะอาดบ้านทั้งหลัง โรงพยาบาลก็ต้องอพยพคนไข้ไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว ..... เวรกรรมอะไรก็ไม่รู้ของคนภาชี เราเคยอยู่กันสุขสบายตามประสาคนชนบท คนจากที่อื่นมาสร้างความเดือดร้อนให้แท้ๆ”

สอดคล้องกับการเสนอข่าวของมติชนออนไลน์ เมื่อ พ.ค.67 ที่โปรยหัวข้อข่าวว่า “ไฟไหม้โกดังเก็บสารเคมีเถื่อน พันตัน ที่ภาชี ยังไม่ดับ! ควันดำพุ่งโขมง ส่งกลิ่นเหม็น”และมีข่าวบางตอนที่น่าสนใจว่า “จากกรณีเกิดเหตุไฟไหม้โกดังเก็บสารเคมีที่ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีเสียงระเบิดดังขึ้นเป็นระยะๆ เจ้าหน้าที่ต้องระดมขอความช่วยเหลือสกัดเพลิงลุกไหม้ พร้อมอพยพประชาชนที่อยู่ละแวกใกล้เคียงออกจากพื้นที่โดยด่วน” 

ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในขณะนั้นได้กล่าวสรุปเหตุการณ์ว่า “โกดังที่เกิดเหตุเพลิงไหม้เป็นโกดังที่ ซึ่งไม่ใช่โกดังที่ ที่เกิดเพลิงไหม้ก่อนหน้านี้ ซึ่งตามแผนการสอบสวน คือโรงที่ เป็นพวกปลอกสายไฟ น้ำมันเครื่อง กรดซัลฟิวริก ส่วนสาเหตุต้องรอเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ตอนนี้สั่งการในเรื่องการดับเพลิงก่อน โดยประสานหน่วยงานข้างเคียงรถดับเพลิงที่อยู่ในพื้นที่ทั้งหมด จัดการจราจร และเตรียมอพยพคน ย้ายผู้ป่วยโรงพยาบาลภาชี 30 คนย้ายไปก่อน เนื่องจากยังมีกลุ่มควันจำนวนมากอยู่ โดยจะย้ายไปโรงพยาบาลวังน้อย โรงพยาบาลท่าเรือ และโรงพยาบาลอุทัย พร้อมเร่งดับเพลิงให้เร็วที่สุด” 

หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบหายไป ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยเกิดเหตุทำนองเดียวกันและชาวบ้านได้พยายามร้องเรียน กับทั้งเฝ้ารอการช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาเป็นระยะๆแล้วก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรก้าวหน้าบ้างเลย

อย่างไรก็ตามในกรณีนี้นับว่าชาวบ้านยังพอมีความหวังอยู่บ้าง เมื่อนายชีวะภาพ ชีวะธรรม ประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ชุดปัจจุบัน รับทราบความเดือดร้อนของชาวบ้าน ได้นำคณะตัวแทนกรรมาธิการดังกล่าว ลงพื้นที่เมื่อ 10 ม.ค.68 ไปตรวจสอบข้อมูลโกดังเก็บสารเคมี ในท้องที่ อ.ภาชี เพื่อติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาลักลอบทิ้งกากของเสียอุตสาหกรรม หลังมีชาวบ้านร้องเรียนว่า เกิดเหตุเพลิงไหม้โกดังแห่งนี้ตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว แต่ปัจจุบันกากของเสียสารเคมีกว่า 4,000 ตันยังคงอยู่

หลังจากได้รับฟังบรรยายสรุปเหตุการณ์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมาธิการฯ ได้เข้าตรวจสอบบริเวณโกดังเก็บกากสารเคมีที่เกิดเพลิงไหม้ในโกดัง พบว่ายังมีสารเคมีที่เป็นอันตรายคล้ายน้ำมันเดือดปุดๆ จนต้องนำทรายมากลบเอาไว้ ซึ่งเมื่อใช้กระดาษลงไปจุ่มทดสอบ พบว่ากระดาษเปื่อยไหม้ในทันที รวมทั้ง พบหลุมลึกจำนวน แห่งภายในโกดังที่ ที่เกิดจากปฏิกิริยาสารเคมี จนน้ำเสียผุดขึ้นมา ทำให้พื้นดินบริเวณนั้นกลายเป็นสีส้ม

หลังจากได้ตรวจสอบพื้นที่ รวมทั้งมีการหารือกับหน่วยงานต่างๆและตัวแทนชุมชนในพื้นที่แล้ว นายชีวะภาพฯ ได้กล่าวสรุปทิ้งท้าย ดังนี้ “รัฐบาลควรดำเนินการจัดการกับปัญหาขยะพิษที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการนำกากสารเคมีอันตรายไปทำลายโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในวงกว้างมากยิ่งขึ้น ส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งดำเนินคดีกับผู้ที่ทิ้งขยะพิษอย่างผิดกฎหมาย และเรียกร้องให้มีการยึดทรัพย์ของผู้กระทำผิด เพื่อนำเงินมาเยียวยาผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ เช่น ชาวบ้านที่ต้องสูดดมกลิ่นเหม็นและได้รับผลกระทบต่อสุขภาพ หรือเกษตรกรที่นาเสียหายจากสารเคมีที่รั่วไหล ซึ่งเหตุการณ์ขยะพิษที่เกิดขึ้นเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน วุฒิสภาจะไม่นิ่งนอนใจ และจะเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่” 

ได้แต่เอาใจช่วยชาวภาชีให้รอดพ้นจากวิกฤตปัญหานี้ ซึ่งทางรุ่นน้องวนศาสตร์ซึ่งอดีตเคยเป็นข้าราชการระดับสูงของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต้องช่วยกันผนึกกำลังกับผู้นำชุมชนและชาวบ้าน เพื่อสร้างพลังการขับเคลื่อนเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้รับผิดชอบงานในหน้าที่ให้มากที่สุดด้วย งานจึงน่าสัมฤทธิ์ผลได้ในไม่ช้า


Last updated: 2025-01-28 17:33:30


@ คนภาชี
 


 
     
เชิญท่านเป็นบุคคลแรกที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความ คนภาชี
 
     
     
   
     
Untitled Document
 



LFG
www.lookforest.com|บทความ|โปรแกรมคาร์บอนต้นไม้|ฐานข้อมูลชีวภาพ|เครือข่ายฟาร์มป่าไม้|ติดต่อบรรณาธิการ
Powered by: LOOK FOREST GROUP
23/1 ซอยรัชดาภิเษก 64 แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กทม.
Clicks: 
51

Your IP-Address: 18.97.9.173/ Users: 
50