ทำธุรกิจต้องคุ้มค่า ช่วยคนไม่ต้องคิดเรื่องคุ้ม
 
     
 
ซุก...จนคดีขาดอายุความ
มีตัวอย่างมาให้พิจารณา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ก่อนที่ พระราชบัญญัติความรับผิดชอบทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 จะบังคับใช้ แต่ก็เป็นอุทาหรณ์เตือนใจผู้ที่เป็นผู้บริหารได้เป็นอย่างดี
 

��������������� กรณีการจัดซื้อกล้าไม้โดยทุจริตของหน่วยงานในสังกัดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 ต่อมาปี พ.ศ.2556 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง มาถึงปี พ.ศ.2559 จึงได้แต่งตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง และคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2559 และเดือนเมษายน 2559 ตามลำดับ คราวก่อนได้พูดในเรื่องการสอบวินัยร้ายแรงไปบ้างแล้ว คราวนี้ขอว่าในเรื่องความรับผิดทางละเมิดดูบ้าง มีตัวอย่างมาให้พิจารณา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ก่อนที่ พระราชบัญญัติความรับผิดชอบทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 จะบังคับใช้ แต่ก็เป็นอุทาหรณ์เตือนใจผู้ที่เป็นผู้บริหารได้เป็นอย่างดี เรื่องตามฎีกาที่ 1199/2540 นายยงยุทธ เป็นข้าราชการ กรมป่าไม้ เป็นข้าราชการ ระดับซี 3 ได้รับคำสั่งจากกรมป่าไม้ให้ไปดูแลรักษา สวนป่าควนเขาวังสำนักงานป่าไม้เขตสงขลา สวนป่าควนเขาวังนี้ สภาพไม่เหมาะสมแก่การปลูกป่า กล้าไม้ขนาดเล็กจึงตายลงไปเรื่อยๆ นายยงยุทธ ไม่รายงานข้อเท็จจริงดังกล่าวเสนอให้กรมป่าไม้ยกเลิกการปลูกสวนป่า แต่ได้เบิกเงินบำรุงรักษาสวนป่าในปี 2526 และปี 2527 ตลอดมา เป็นเหตุให้กรมป่าไม้สูญเสียงบประมาณ ได้รับความเสียหาย คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงของกรมป่าไม้ ตั้งขึ้นมามีความเห็นว่านายยงยุทธ ทำละเมิดต่อกรมป่าไม้ และจะต้องชดใช้ค่าเสียหาย อันเป็นเงินงบประมาณค่าบำรุงสวนป่า ที่นายยงยุทธ เบิกไปคืนให้กรมป่าไม้...

��������������� โปรดสังเกตให้ดีว่า เหตุละเมิดเกิดขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ.2526 และปี พ.ศ.2527 แต่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงได้ทำรายงานสรุปข้อเท็จจริงและลงความเห็นเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2534 ( ทิ้งระยะเวลา 7 ปี ) เสนอต่ออธิบดีกรมป่าไม้ว่า นายยงยุทธ ทำละเมิดและจะต้องรับผิด ชดใช้ค่าเสียหายเกี่ยวกับเงินงบประมาณค่าบำรุงรักษาป่าแก่กรมป่าไม้...

��������������� ไม่ทราบว่าใครเอาเรื่องไปซุกไว้ที่ไหนเสียหลายเดือน รองอธิบดีกรมป่าไม้ คนหนึ่งปฏิบัติราชการแทนอธิบดี ได้บันทึกท้ายรายการที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเสนอมาเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2535ให้กองนิติการพิจารณาเสนอความเห็นด้วยกองนิติการได้เสนอความเห็นลงวันที่ 22 ตุลาคม 2535(คือผ่านไป 8 เดือนเศษ)ว่านายยงยุทธ ต้องรับผิดชอบตามความเห็นที่คณะกรรมการสอบสวนเสนอมาพร้อมกันนั้นกองนิติการก็ร่างหนังสือแจ้งให้นายยงยุทธ ชดใช้ค่าเสียหายมาเพื่อให้อธิบดีคนเดิมลงนาม...

��������������� รองอธิบดีกรมป่าไม้ท่านนั้นใช้เวลา 3 วัน ทำบันทึกท้ายความเห็นของกองนิติการ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2535 ว่า “ชอบ ลงนามแล้ว” ต่อไปทำอย่างไรกรมป่าไม้ก็เป็นโจทก์ฟ้องนายยงยุทธ ให้ชดใช้เงิน 42,267.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยกับค่าเสียหายอีก 74,880 บาทพร้อมดอกเบี้ยนายยงยุทธ จำเลยสู้คดีว่า คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษาตรงกันให้ ยกฟ้องกรมป่าไม้ ยื่นฎีกา...

��������������� ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ถือว่ากรมป่าไม้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้ที่จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2535 (คือวันที่รองอธิบดีกรมป่าไม้ ปฏิบัติราชการอธิบดี ได้บันทึกท้ายรายงานของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และส่งเรื่องให้กองนิติการเสนอความเห็น)แต่กรมป่าไม้ นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2536 (เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี นับแต่กรมป่าไม้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้ที่จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน) คดีจึงขาดอายุความ (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง) เมื่อคดีขาดอายุความเช่นนี้ ประเด็นข้ออื่นก็ไม่ต้องวินิจฉัย พิพากษายืน เงินจำนวน 117,047.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยที่ควรจะได้ก็ ไม่ได้...?

��������������� คดีนี้ตัวอย่างให้เราเห็นว่ากรมป่าไม้ปล่อยปละละเลยให้ข้าราชการเบิกเงินเท็จติดต่อกันได้ถึง 2 ปี ได้อย่างไร ทั้งที่รู้ว่าสวนป่าแห่งนี้ไม่เหมาะสมแก่การปลูกป่าอีกอย่างคือปล่อยให้คดีขาดอายุความไปเช่นนี้มีใครจะต้องรับผิดชอบบ้างละครับ ฯพณฯ..?

��������������� เรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง หรือสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อหาผู้รับผิดชอบทางแพ่ง รู้สึกจะมีปัญหาทุกกระทรวงทบวงกรม ยิ่งในสมัยก่อนแล้วยิ่งแย่เป็นสองเท่า เพราะไม่มีการควบคุมเข้มเหมือนปัจจุบันคณะกรรมการบางคณะที่ขาดคุณธรรม จริยธรรมบางคนตั้งหน้าตั้งตารีดเงินหรือสิ่งตอบแทนจากผู้ถูกกล่าวหาซึ่งตนรับว่าจะช่วยให้หลุดมลทิน กว่าจะสอบเสร็จผู้ถูกกล่าวหาแทบหมดตัว บางครั้งก็ช่วยได้บ้าง บางครั้งก็ไม่สำเร็จ เนื่องจากผู้เป็นกรรมการสอบสวนไม่เป็นได้แต่ขออนุมัติส่วนกลางออกมานอนกินเที่ยวไปวันๆสร้างความทุกข์ยากให้กับผู้ถูกกล่าวหาเพิ่มไปอีก บางคณะก็เปลี่ยนคณะกรรมการเป็นว่าเล่น ไม่คำนึงถึงระยะเวลาที่ระเบียบกำหนด สาเหตุมีหลายประการ บางคนอ้างว่าไม่อยากฆ่าพวกเดียวกันบางคนอาศัยช่วงจังหวะในการทำงาน ต้องยืดเวลา จากระยะเวลาที่กำหนด ภายใน 180 วัน กลายเป็นปี สองปียังสอบกันยังไม่เสร็จ บางกรณีผู้ที่ถูกกล่าวหาและคณะกรรมการบางคนต่างล้มหายตายจากไปก็มี จากประสบการณ์ที่ผู้เขียนพบ ส่วนใหญ่คณะกรรมการถูกแต่งตั้งสอบสวนไม่เป็นแม้ระเบียบจะระบุให้การแต่งตั้งคณะกรรมการที่มีคุณสมบัติ จบนิติศาสตรบัณฑิต หรือผู้ที่มีประสบการณ์ทางการสอบสวนวินัยอย่างน้อยหนึ่งคนก็ตาม สำหรับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชและ กรมป่าไม้ ของเราเริ่มจะมีการรับบุคคลที่จบนิติศาสตร์ มาบรรจุตามสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ทั้ง 16 แห่ง ไม่นานมานี้เอง ดังนั้น คนที่มีทักษะในเรื่องนี้จริงจึงมีอยู่ประจำที่ฝ่ายวินัย กองนิติการ เท่านั้นนิติกรบรรจุใหม่จึงเพิ่งเริ่มหาประสบการณ์ และงานสอบสวนข้อเท็จจริงไม่ใช้งานหลัก ทำให้พวกเราจึงขาดความรู้และทักษะในเรื่องนี้เพราะโดยความเป็นจริงแล้วคนที่มีพื้นฐานในการสอบสวนดำเนินคดีป่าไม้ สามารถนำมาประยุกต์ใช่ได้เพราะเป็นการรวบรวมข้อเท็จจริงแล้วแจ้งข้อกล่าวหา ให้ผู้ถูกล่าวหาแก้ต่าง ต่างคนต่างแสวงหาพยานหลักฐานมาหักล้างกัน ใครมีมากและถูกต้องก็เป็นผู้ชนะไปแต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากมีการสอบถามเพื่อถามความสมัครใจขอเป็นคณะกรรมการสอบสวน ไม่ว่าจะเป็นข้อเท็จจริง สอบวินัย สอบละเมิด ร้อยทั้งร้อยจะปฏิเสธ...

��������������� ทำไม...ทำไม...บางคนเก่งอยู่นอกห้องรู้เสียไปทุกอย่าง พอเสนอให้เป็นกลับปฏิเสธหัวชนฝาบางคนบอกว่ามันผิดอยู่แล้วสอบไปก็ผิดกลัวแต่วิ่งมาช่วยนี้ซิลำบากใจเป็นการพูดทำให้ตนดูดี แต่ความเป็นจริงแล้วยังไม่เข้าใจขบวนการสอบสวนสำหรับผู้เขียนแล้วกลับมีความเห็นตรงข้ามกัน การจะเอาคนมาลงโทษไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งหากเขาต่อสู้ด้วยแล้วยิ่งยากไปใหญ่เนื่องจากการจะเอาผิดใครสักคนต้องระมัดระวังให้มาก เรากล่าวหาเขาอย่างไร ต้องแสวงหาหลักฐานมาสนับสนุนข้อกล่าวหาให้ครบองค์ประกอบของความผิด ยิ่งในคดีป่าไม้ด้วยแล้วทนายความ บางคนปรามาสว่า การจับกุมของเจ้าหน้าที่หากผู้ต้องหามีปัญญาสู้คดีแทบจะหลุดหมดทุกคดี...

��������������� ฟังตอนแรกรู้สึกฉุนเช่นกันพอตั้งสติได้มานั่งพิจารณาและดูพวกพี่ๆน้องๆ ที่ทำหน้าที่นี้แล้วน่าจะเป็นจริง เพราะการทำงานของพวกเราหละหลวม และไม่ติดตามคดีปล่อยให้อัยการสั่งฟ้องอย่างโดดเดี่ยวจึงเป็นเหตุให้บางคดีพ่อค้ารู้ทางคดีป่าไม้ จึงถูกอัยการสั่งไม่ฟ้องเป็นจำนวนมาก แล้วพวกเราได้แต่มานั่งเจ็บใจแต่นั้นก็ยังไม่ขอสำนวนการสอบสวนจากพนักงานสอบสวนมาอ่าน เพื่อศึกษาว่ามีช่องโหว่หรือจุดอ่อนอย่างไร...?

ปัจจุบันมีผู้เข้าศึกษาในคณะวนศาสตร์เป็นสุภาพสตรีและจบออกมาเป็นจำนวนมาก คิดกันอย่างไรก็เริ่มวางนโยบายก็แล้วกัน สมัยผู้เขียนยังรับราชการอยู่เคยพาน้องผู้หญิง(คุณนพมาศ แก้วพรมชัย-บัวหอม)ออกทำงานปราบปรามเพื่อจะได้ปูพื้นฐานไว้ ต่อไปอาจเป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหรือหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จะได้มีภูมิ ชวนไปฝึกงาน 2-3 ครั้ง ไม่รู้มือดีมาจากหน่วยไหนมาคว้าชวนไปทำงานเกี่ยวกับสารสนเทศ ยังศึกษาไม่ได้เท่าใดเลยคิดแล้วเสียดาย ฝากรุ่นหลังๆ ช่วยฝึกน้องๆด้วย มีประโยชน์จริงๆ อย่ามัวแต่มากีดกันว่าสุภาพสตรีทำงานปราบปรามฯไม่ได้เหมาะนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้นงานของเรามีความจำเป็นมาก ไม่ใช่เก่งแต่รับแขกและเป็นมัคคุเทศก์ตามอุทยานแห่งชาติ.... ����������


Last updated: 2017-05-03 15:46:04


@ ซุก...จนคดีขาดอายุความ
 


 
     
เชิญท่านเป็นบุคคลแรกที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความ ซุก...จนคดีขาดอายุความ
 
     
     
   
     
Untitled Document
 



LFG
www.lookforest.com|บทความ|โปรแกรมคาร์บอนต้นไม้|ฐานข้อมูลชีวภาพ|เครือข่ายฟาร์มป่าไม้|ติดต่อบรรณาธิการ
Powered by: LOOK FOREST GROUP
23/1 ซอยรัชดาภิเษก 64 แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กทม.
Clicks: 
1,721

Your IP-Address: 18.218.183.7/ Users: 
1,720