ผู้ที่ประสบความสำเร็จ คือผู้ที่ทำความฝันให้เป็นความจริงได้อยู่เสมอ
 
     
 
แสนเสียดายลายเสือที่น่ารัก
เดินเลือกหารถคันที่สวยที่สุดแล้วจูงออกมายังไม่ทันที่ล้อหน้าจะพ้นที่จอด ได้ยินเสียงเห่าและคำรามของสุนัขดังพอที่คนในร้านจะได้ยิน
 

เสียงกระเป๋ารถเมล์ร้อง...

                “ชิดซ้ายมีคนลง”ดังไม่ถึงสองนาทีรถโดยสารเบรกหยุดเลยหน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ไม่ไกลนัก ทั้งรถมีผู้โดยสารสามคน ข้าพเจ้าลงมาเสียหนึ่งคงเหลือรวมทั้งคนขับ 4 ชีวิต วันนี้ไม่รู้เป็นวันอะไรรถจึงว่างปรกติจะแน่นเหมือนข้าวยัดทะนาน สังคมกรุงเทพฯเมืองฟ้าอมรไม่มีวัน เวลาใดที่มีคำว่ารถว่าง รถไม่ติด เหตุผลทุกคนทราบดีแต่ทุก ท่านก็ยังอยากมาใช้ชีวิตในเมืองหลวงแห่งนี้ ขนาดว่าเกษตรตั้งอยู่ไกลแล้วรถโดยสารยังไม่วายแน่นทุกเที่ยวทุกวัน ...?

 

 

                ข้าพเจ้าหอบกระเป๋าเดินเข้าไปในรั้วมหาวิทยาลัย ตรงหน้าเป็นสระน้ำหน้าหอประชุม จึงเดินเลี้ยวขวาตรงไปประมาณ 100 เมตร จะพบอาคารไม้มุงด้วยหลังคาสังกะสีซึ่งเปลี่ยนจากสีขาวกลายเป็นสีน้ำตาล รูปทรงของอาคารก็โย้ไปเย้มาจนจำรูปร่างเดิมไม่ได้ แต่พวกเราพอจะรู้ เพราะที่นี่ทุกคนเรียกว่า “อาคารหกเหลี่ยม” สิ่งที่สำคัญคือภายใต้หลังคาอาคารนี้เต็มไปด้วยเหล็กขึ้นสนิมสองล้อที่เราเรียกว่าจักรยาน จอดเรียงกันก็มีล้มทับกันบ้างตามแต่คนที่นำมาจอดทิ้งไว้ สภาพเก่าคร่ำครึจะหาคันใหม่สักคนคงหายาก เคยดูภาพยนตร์ต่างประเทศเห็นสุสานรถยนต์ หากชาวต่างชาติมาดูคงว่าสถานที่นี้เป็นสุสานจักรยานแน่นอน รีบส่ายสายตามองหารถของตนเองว่าอยู่ ณ ที่ใดและแล้วก็พบมันล้มถูกทับไว้ด้วยจักรยาน 2 คัน เข้าไปยกคันที่ทับออกดึงจูงออกมานอกห้อง แล้วจูงเจ้าจักรยานสีแดงคู่ชีพไปพบคนเฝ้าจ่ายค่าดูแลแล้วก็โดดขึ้นนั่งปั่นออกจากศาลาหกเหลี่ยมปูชนียสถานที่สร้างบัณฑิตเป็นพันๆคน และบัดนี้มันได้กลายเป็นปูชนียสถานของมหาวิทยาลัยไปแล้ว...

                รถแล่นผ่านมาหน้าหอสมุดจึงหันหน้าไปทางอนุสาวรีย์ปูชนียบุคคลแล้วโค้งคำนับ พอถึงทางแยกประตูหนึ่งคิดในใจว่าขณะนี้เป็นเวลาอาหารเย็นแล้วจึงแวะร้านอาหารข้างสโมสรนิสิตเก่าซึ่งเป็นร้านอาหารที่ยื่นหลังคาออกมาจากตัวอาคารสโมสรใกล้กับตึกคหกรรมศาสตร์ บริเวณนี้ในปัจจุบันน่าจะเป็นศูนย์หนังสือ มก. มีอาหารโปรดคือ ผัดผักกาดดองใส่ไข่หวานนิดๆ ใครๆ ก็ติดใจพ่อครัวของเราต่อหน้าเรียก เฮีย ลับหลังเรียก แป๊ะหัวล้าน...?

                ดูเวลา 17.45 น. แล้วจึงจูงรถจอดให้เรียบร้อย มองเข้าไปในร้านเห็นเปิดไฟ 2 ดวงแล้วจึงมองหาที่นั่งพอดีมีที่ว่างเพราะบรรดานิสิตมักจะมาตอนหกโมงเย็นนิสิตหญิงจะมาก่อนเพราะต้องรีบเข้าหอตามกฎ มองไปที่โต๊ะยาวเห็นว่างจึงเข้าไปนั่งเนื่องจากสามารถแบ่งให้พวกบินเดี่ยวนั่งได้อีกหลายคน พอหย่อนก้นติดพื้นแล้วร้องสั่งพ่อครัวซึ่งกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารอยู่ไม่ห่างนัก แป๊ะหัวล้านพยักหน้าเพราะรู้กันดีเนื่องจากเป็นขาประจำ ขณะที่รออาหารอยู่เปิดกระเป๋าควานหาหนังสือนิตยสารกรังปรีซ์เล่มใหม่ว่าจะอ่านฆ่าเวลาแล้วเอากระเป๋าวางไว้ข้างขวาของลำตัว นั่งตัวตรงกางหนังสือเล่มใหม่หน้าแรกพลันสายตาเหลือบไปเห็นสุนัขกำลังรุ่นหนุ่มอายุคงประมาณ 2 ปีสีเทาลายดำอมเหลืองนั่งอยู่ข้างนิสิตที่กำลังกินอาหารอยู่ด้านหน้าจำได้ทันทีเขาละ...”ลายเสือ”...เพื่อนกินของข้าพเจ้ามันกำลังยกขาขึ้นสะกิดขาของนิสิตชายรู้สึกว่าจะเป็นปี 2 คนกินรีบโยนกระดูกให้มันรีบกินแล้วสะกิดอีก คราวนี้คนกินอาหารคงรำคาญออกปากไล่เบาๆว่าหมดแล้ว เจ้าลายเสือรีบพาร่างที่เกือบจะอุ้ยอ้ายเดินคอตกไปอีกโต๊ะหนึ่งยังไม่ถึงเจ้าของรีบโบกมือตะเพิดแต่เจ้าลายเสือหน้ามึน นั่งอยู่รอไม่ยอมหนียกขาขึ้นสะกิด คราวนี้คนกินต้องจำใจโยนอาหารให้ แต่โยนไปไกลจากโต๊ะราว 2 เมตร เจ้าลายเสือลุกเดินไปเก็บกินยังไปไม่ถึงมันหันหน้ากลับเพราะได้ยินเสียงเรียก...

                “เสือ...เสือ...มาทางนี้”

                สัญชาตญาณที่คุ้นกับความถี่ของเสียงที่สัมผัสกันเป็นประจำเจ้าลายเสือหันมามองแล้วเดินหน้าตั้งตรงมาที่ข้าพเจ้านั่งยกขาขวาขึ้นสะกิดหนึ่งครั้ง ข้าพเจ้าจึงก้มไปลูบหัวมันเป็นการทักทายตอบ พอดีมีเพื่อนเดินเข้ามาแล้วร้องว่า ...

                “ขอร่วมโต๊ะด้วยคน สั่งอะไรแล้วยัง?”

อาคันตุกะผู้มาเยือนหาใช่ใครไม่เจ้าสุเมธนิสิตคณะประมงเพื่อนร่วมหอและร่วมห้อง 03 ด้วยกัน ข้าพเจ้าจึงตอบไปว่า...

                “สั่งเหมือนเดิมนายจะเอาอะไร?”

เพื่อนตอบเอาเหมือนกันข้าพเจ้าจึงลุกไปสั่งพ่อครัวแต่ขอต้มยำไก่เพิ่มหนึ่งถ้วย พอเดินกลับมานั่งเรียบร้อยเพื่อนเริ่มชวนคุย...

                “ลายเสือมันโตขึ้นกำลังจะอ้วน กินดีอยู่ดีน่าอิจฉาจริงโว๊ย”

ข้าพเจ้าจึงร้องตอบ...

                “ทุกวันนี้อิจฉากระทั่งหมาแล้วหรือวะ”

                เกือบลืมเจ้าลายเสือเพราะมัวแต่โต้คารมกับเพื่อนจนเจ้าลายเสือยกขาสะกิดอีกครั้ง พอดีอาหารมาจึงรีบคลุกข้าวแบ่งส่วนหนึ่งที่คิดว่ามันน่าจะอิ่มใส่กระดาษหนังสือพิมพ์แล้ววางบนพื้น เจ้าเมธร้องทักสำทับเจ้าลายเสือ....!!!

                “เฮ้ย! ลายเสืออย่าไปสะกิดเขาบ่อย เขารำคาญ”

ข้าพเจ้าจึงแก้ต่างไว้ว่ามันเพลาลงแล้ว พวกเราเตือนมันจนมันรู้ภาษาคนแล้ว และเราทั้งสองจัดการกับอาหารที่สั่งมาจนหมด คิดว่าจะเดินไปจ่ายค่าอาหารเองโดยไม่ต้องเรียกเก็บลุกขึ้นยังไม่ทันเดิน ที่แข้งด้านซ้ายถูกสะกิด เจ้าลายเสือนั่นเองจึงมองดูไปที่กระดาษใส่อาหารเห็นว่าหมดจึงก้มไปเก็บกระดาษเพื่อนำไปทิ้งแล้วร้องบอกเจ้าลายเสือเบาๆ ว่า...

                “ลายเสือถ้าอิ่มแล้วไม่ต้องไปสะกิดใครเขาอีกล่ะ”

ผู้ถูกเตือนนั่งมองด้วยสายตาที่ดูเหมือนจะรับรู้ แล้วลุกเดินออกจากโต๊ะของเราไปโดยไม่ข้องแวะกับใครอีกเลย เจ้าเมธร้องตามหลังไปว่าอิ่มแน่นะ พอจ่ายเงินเสร็จต่างคนต่างแยกย้ายกันไป แต่จุดหมายคือหอพักเพราะเย็นมากแล้ว....

                หัสเดิมเริ่มแรกเรามารู้จักประวัติของเจ้าลายเสือ เมื่อต้นปีที่แล้วพวกเรามากินอาหารที่นี้ก็เห็นสุนัขแม่ลูกอ่อนมีเจ้าตัวน้อยวิ่งตามอยู่ 4 ตัว ด้วยกันเป็นหมาไทยออกจะพันธุ์ทางคงมีเลือดต่างประเทศผสมบ้าง ตัวแม่ผอมโซเห็นแต่กระดูกซี่โครงเต้านมก็เหี่ยวห้อยโตงเตงเห็นแล้วหดหู่ใจ พวกเราก็ได้แต่ช่วยให้อาหารพอประทังชีวิต แต่เราไม่ได้มากินอาหารที่นี่ทุกวันเนื่องจากภายในมหาวิทยาลัยมีร้านอาหารหลัก 3 แห่ง คือบาร์ แดรีควีน และข้างตึกคหกรรมศาสตร์ ข้าพเจ้าถึงแม้จะติดใจในรสอาหารของที่นี่จะมาอาทิตย์ละ 1-2 ครั้งบางครั้งทิ้งระยะเป็นเดือนก็เคยมี มาครั้งสุดท้ายเห็นสมาชิกทั้งห้าเหลือเพียงตัวเดียวลายขนมีสีเหลืองแซมจึงตั้งชื่อให้มันว่า ลายเสือ เจ้าตัวน้อยบัดนี้กลายเป็นหนุ่มดีว่าหน้าตาหูไม่ตั้งแต่เป็นหมาหูตูบหน้ายังมู่ทู่อีกมันจึงไม่ออกไปทางน่ากลัว ดวงตาสดใสมีแววขี้เล่นและฉลาดแถมที่ลิ้นมีปานดำรูปหัวใจ เอาเป็นว่านิสิตที่มาฝากท้องที่นี่รักมันแทบทุกคน กินดีอยู่ดีจึงดูเป็นสุนัขที่ออกจะมีราศีรูปร่างได้ ส่วนสัดแทนที่จะซี่โครงบานเหมือนสุนัขจรจัดทั่วไป พวกเราถึงมักจะเรียกหาตลอดเวลาจนมันจำกลิ่นกายพวกเราได้ดี ครั้งหลังพอเห็นลงจากรถจะรีบวิ่งไปหาทันที  ข้าพเจ้าตั้งใจไว้ว่าจะพยายามฝึกสอนมารยาทผู้ดี เวลากินไม่ตะกระตะกราม  โดยพยายามตบปากมันเบาๆ เวลาเอาขาสะกิดครั้งที่สองจะตีขามันเบาๆ แล้วส่งเสียงกำกับแรกๆ ก็ยากต้องอาศัยเวลา จนกระทั่งโตมาได้จนปัจจุบันทุกคนที่มารับประทานอาหารต่าง รู้อุปนิสัยของมันทุกคนเว้นแต่ขาจรที่ไม่เคยเข้ามา แต่ก็ยังมีพวกเราบางคนรำคาญมันอาจจะเป็นอุปนิสัยของคนไม่รักสัตว์  เจ้าลายเสือเหมือนจะรู้และไม่เข้าไปตอแย เดินเลี่ยงไปหาคนอื่นต่อไป ขณะนี้หนุ่มเต็มตัวแล้วแต่ยังอาศัยที่นี้เป็นนิวาศสถาน...

                เวลา 18.00 น. เสียงนาฬิกาข้างผนังตึกวิศวกรรมศาสตร์ตีบอกเวลา จึงรีบเก็บวัสดุเครื่องเขียน วันนี้มาอาศัยโต๊ะเขียนแบบเพื่อออกแบบคัทเอ๊าท์หลังเวที ที่จะจัดงานอินเดียนเดย์ ซึ่งกำลังจะมีขึ้นเนื่องจากเข้าฤดูหนาวแล้วในฐานะศิลปกรรมสโมสรวนศาสตร์ ซึ่งมีพี่สุดใจ นพวารุมาศ ที่ปรึกษาใหญ่ แกบอกว่าติดถักหมวกหัวหน้าเผ่าข้าพเจ้าจัดการได้เลย พอเก็บทุกอย่างเดินไปที่เจ้าจักรยานแดงคู่ใจควบมันไปยังร้านแป๊ะหัวล้าน อากาศภายนอกเหมือนจะมีเมฆฝนเพราะมันเป็นปลายฝนต้นหนาว มีสายฟ้าแลบพาดเป็นทางยาว แต่คงไม่มีฝนแน่นอน พอถึงร้านอาหารซึ่งวันนี้มีคนน้อย มีเพียง 2-3 โต๊ะเท่านั้น ส่วนใหญ่จะมาคนเดียว รีบสั่งอาหารยังไม่ทันได้เก็บกระเป๋าให้เรียบร้อยอาหารก็มาวางที่โต๊ะแล้ว เพราะพ่อครัวรู้ดีทำให้โดยไม่ต้องสั่ง รีบจัดการตักใส่ท้องเกรงว่าฝนจะตกไม่ถึง 15 นาทีก็เรียบร้อย    นึกขึ้นได้ว่ายังไม่เห็นเจ้าเพื่อนยากส่องสายตามองหาโดยรอบไม่ปรากฏว่ามันอยู่ในอาณาบริเวณนี้ ในใจคิดว่าคงไปเดินเล่นประเดี๋ยวคงมาวันนี้ไม่รอแล้วไม่มีอะไรให้ไว้วันหน้าก็แล้วกัน ลายเสือ...?

                ปั่นจักรยานแดงไปที่ร้านแดรีควีนไม่เจอใครจึงปั่นเลยไปแล้วเลี้ยงขวาผ่านสนามกีฬาด้านขวาสนามอินทรีย์จันทร์สถิตย์สุดทางเลี้ยวขวาออกสวนนอกผ่านหอหญิงด้านซ้ายมือกำลังจะเลี้ยวขวาพอดีเจอเด็กหนุ่ม 2 คนเดินจูงจักรยานคันเดียวสงสัยจึงหยุดรถพอจะมองเห็นหน้าตาแต่ไม่ชัดนักเพราะเป็นเวลาโพล้เพล้แต่เค้าน่าคุ้นตาว่าเป็นเด็ก ปี 2 แต่ก่อนที่จะร้องถามเด็กหนุ่มคนหนึ่งถามขึ้นมาก่อน...

                “พี่ทศจะกลับหอหรือพี่คืนนี้ไปที่ตึกผมบ้างซิ”

 ข้าพเจ้าจึงตอบกลับไปว่า...

                “จักรยานเป็นอะไรทำไมต้องจูง ยางแตกหรืออย่างไร?”

 น้องอีกคนตอบว่า...

                “รถไม่เป็นอะไรหรอกพี่ท้ายรถบรรทุกเนื้อใส่กะละมังมาขี่ไม่ได้ต้องจูงเดี๋ยวก็ถึงแล้ว”

ข้าพเจ้าถามต่อด้วยความสงสัย....

                “ไปล้มหมูล้มวัวเลี้ยงกันหรืออย่างไร?”

เจ้าน้องคนประคองกะละมังตอบว่า...

                “ก็ยังงั้นแหละพี่แต่ไม่ใช่หมูไม่ใช่วัว มันเป็นเป็น เก๋งเอ๋ง พี่จะดูไหมจะเปิดให้ดู?”

พอได้ยินเท่านั้นแหละข้าพเจ้ารีบตอบกลับไปว่า....

                “ตามสบายก็แล้วกันพี่ไปก่อนละหอ 16 อยู่ตรงนี้เองจะถึงแล้วพวกนายก็รีบไปเพราะมืดแล้ว”

ขึ้นรถได้รีบปั่นเพื่อจะได้ถึงหอเร็วๆ เพราะนัดกับเจ้าชินและเจ้าเมธไว้ เพื่อนร่วมห้องคงบ่นน่าดู พอถึงจอดรถโดยไม่ต้องดูเดินเปิดประตูมุ้งลวดเข้าไป เพื่อนชิน ทักขึ้นก่อน..

                “มัวทำอะไรอยู่วะ  ชักช้าเจ้าเมธมันหลับไปหลายตื่นแล้ว”

ข้าพเจ้าจึงไถ่ถามว่าที่นัดมามีเรื่องด่วนอะไรนักหนา เจ้าเมธตอบว่าจะชวนไปงานรับน้องที่ตึก 4 มีอาหารและไวน์เพียบมีทั้งหมูย่างและวัวย่างและมีพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อเขาควายด้วย สนุกมาก พอได้คำตอบอยากจะร้องด่านึกว่ามีเรื่องสำคัญอะไรที่แท้ก็เรื่องกินนี่เอง จึงบอกทั้งคู่ไปว่า...

                “นายไปสองคนก็แล้วกันเพิ่งกินข้าวมาสดๆร้อนๆ และขี้เกียจด้วย กินเผื่อด้วยก็แล้วกัน”

ข้าพเจ้าหยิบผ้าเช็ดตัวได้เปิดประตูห้องเดินออกไปเข้าห้องน้ำเตรียมตัวนอนได้ยินเสียงบ่นด่าพึมพำตามหลัง.?

                ลมเปลี่ยนทิศแล้วเริ่มพัดจากทิศเหนือมาทิศใต้ เหมันต์ฤดูเริ่มมาเยือนแล้วข้าพเจ้าไม่ได้ไปกินอาหารร้านแป๊ะเกือบครึ่งเดือน วันนี้รู้สึกอยากไปสักหน่อยก็ดีจะได้เยี่ยมเจ้าลายเสือมันด้วย ไปครั้งที่แล้วก็ไม่เจอคงสบายดี พอหาที่จอดรถได้ก็เดินตรงเข้าร้านยกข้อมือดูเวลามันเที่ยงสิบห้านาทีแล้ว คนในร้านยังน้อยหาโต๊ะได้พอหย่อนก้นลงยังไม่ แตะพื้นอาหารมาถึงแล้วเจ้าของร้านรู้ใจยังไม่นึกอยากอาหารเท่าใดนัก เพราะในใจนึกและมองหาแต่เจ้าลายเสือ ไม่มีวี่แววอีกเช่นเคย จะว่ามีใครจับไปเลี้ยงก็ไม่ใช่เพราะมันโตเป็นหนุ่มแล้ว คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจถึงแม้ลายเสือจะมีแต่ความแสนรู้และน่ารัก มันก็เคยสร้างวีรกรรมให้เห็นเช่นกัน....

เรื่องมีอยู่ว่าบ่ายแก่ของวันหนึ่งประมาณเวลาว่ากำลังจะเลิกเรียน นิสิตหญิงกลุ่มหนึ่งพากันขี่จักรยานมานั่งที่ร้านแป๊ะเพื่อหาของหวานกินตามภาษาผู้หญิงจอดรถไว้หน้าร้านเป็นกระจุก แล้วทั้งกลุ่มพากันเดินเข้าร้านหาที่นั่งได้ไม่ห่างจากที่จอดรถเท่าใดนัก  เวลาผ่านไปประมาณ 30 นาทีมีขายวัยกลางคนผมเฝ้ากระเซอะกระเซิงสวมร้องเท้าแตะเสื้อลายน้ำเงินปล่อยชาย กางเกงสีดำคงสกปรกน่าดูเดินมาที่รถจักรยานของนิสิตหญิงกลุ่มนี้ เดินเลือกหารถคันที่สวยที่สุดแล้วจูงออกมายังไม่ทันที่ล้อหน้าจะพ้นที่จอด ได้ยินเสียงเห่าและคำรามของสุนัขดังพอที่คนในร้านจะได้ยิน และคนในร้านทุกสายตามองออกมาและแล้วก็มีเสียงนิสิตหญิงคนหนึ่งร้องออกมาว่า ... ขโมย... ขโมย... เท่านั้นแหละมีชายหนุ่มใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นของนักกีฬาเดินเกร่อยู่แถวนั้นเดินเข้าไปดึงรถเอาไว้ ชายที่มาขโมยรถปล่อยรถดึงมีดพกออกมาจากซอกเอวออกมาขู่  ในเสี้ยววินาทีนั้นมีชายแต่งกายเป็นนักกีฬาอีกคนมาด้านหลังแตะเข้าที่แขนมีดหลุดกระเด็น ผู้ชายทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างกรูกันเข้าไปล้อมจับไม่รู้เท้าใครต่อเท้าใครต่างขอได้มีส่วนร่วมเพราะเกลียดนักพวกขโมยจักรยาน จนนักรักบี้ที่จัดการต้องรีบช่วยกันไว้ไม่อย่างนั้นอ่วมอรทัยแน่เจ้าขโมยที่รัก เวลานำผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน ทางตำรวจต้องขอร้องให้เพลากันบ้างกลัวผู้ต้องหาตายก่อนส่งฟ้อง เพราะกว่าจะถึงก็คอพับคออ่อนไปหมดแล้ว...สำหรับเจ้าตัวก่อเรื่องวิ่งหนีไปหลบอยู่ใต้โต๊ะคงคิดว่าหมดหน้าที่แล้ว พอทุกอย่างสงบคอยย่องออกมาหาเศษอาหารต่อไป....??

                จิตที่ติดกับวีรกรรมของเจ้าลายเสือจบลงรีบจัดการกับอาหารตรงหน้าเสร็จลุกไปชำระเงินแล้วถามพ่อครัวว่า..

                “แป๊ะ..ลายเสือหายไปไหน?”

คนถูกถามตอบโดยไม่เงยหน้าว่า...

                “อั๊ว ไม่ทันสังเกตรู้สึกว่าอีจะหายไปหลายวันแล้ว”

ข้าพเจ้าไม่สอบถามอะไรเพิ่มเติมเพราะรู้ว่าแป๊ะมีหน้าที่อยู่หน้าเตาถ่านไม่มีเวลาสนใจอะไรที่นอกเหนือจากการทำมาหากินพอมาถึงสโมสรวนศาสตร์ก็เข้าไปหามุมสงบนั่งออกแบบคัทเอาท์ฉากหลังเวทีงาน อินเดียนเดย์ซึ่งปีนี้มีนโยบายเปิดเชิญทุกคณะมาร่วมกิจกรรมและมีการประกวดเทพีอันเดียนเดย์ด้วย ขณะที่นั่งร่างรูปหัวหน้าเผ่าหูได้ยินเสียงคุยกันมาจากด้านนอกสโมสรพอจับใจความได้ว่า....

                “เฮ้ย! เชิดวันรับน้องตึกวันนั้นมึงอ้วกแตกเหมือนกูไหมวะ?”                

เสียงตอบกลับว่า...

                “ใครจะทนได้กินเข้าไปตั้ง ถ้วย อร่อยเสียด้วยพอกินเสร็จยังไม่ย่อยพี่แกเล่นชูหางหมาให้ดู ใครจะทนไหวว่ะ  แล้วยังมีหน้ามาบอกสรรพคุณว่าเป็นยาแก้หนาว”

คนแรกกระทู้ถามต่อ...

                “รุ่นพี่ไปหาเนื้อหมามาจากที่ไหนวะ เชิด” 

อีกคนตอบรับอย่างมั่นใจ...

                “เห็นว่าไปจับเอาตามร้านอาหารในมหาวิทยาลัยของเรานี่แหละ มาจากที่ไหนมันก็หมาเหมือนกัน”

คนชื่อเชิดพูดลอยๆขึ้นว่า...

                “ดูขนหางมันเป็นพวงดีแต่ทำไมสีเหมือนงูเหลือมหรือไม่ก็หางเสือโคร่ง”

                ข้าพเจ้านั่งฟังทั้งคู่จบรู้สึกว่ามีอะไรมาจุกที่คอหอย เบ้าตาร้อน เจ้าลายเสือแน่นอนใครหนอช่างใจร้ายทำกับมันได้ เนื้อสุกร โค กระบือมีขายเต็มตลาด ความอาลัยอาวรณ์ต่อเพื่อนร่วมโลกมันทำให้ต้องหยุดทำงานลง ใจคิดว่ากลับหอดีกว่าแต่ใจก็นึกว่ามิน่ามันจึงหายไปจากร้านแป๊ะโดยไม่มีวี่แวว เราไปกินข้าวไม่พบถึงสองครั้ง ได้แต่วิงวอนในใจส่งประแสจิตหากเจ้าจากโลกนี้ไปจริงชาติหน้าชาติไหนก็ขอให้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เขาบ้าง พอถึงหอรีบอาบน้ำแต่งชุดเข้านอนกว่าจะหลับเล่นเอาเกือบเที่ยงคืน....??

                งานอินเดียนเดย์ก็ผ่านพ้นไปด้วยดีเราได้เทพีอินเดียนแดง จากคณะวิทยาศาสตร์และอักษรศาสตร์ สำหรับข้าพเจ้านั้นได้รับคำชมจากท่านคณบดีว่าจัดทำคัดเอาท์ฉากหลังเวทีได้สวยและยิ่งใหญ่เล่นเอาตัวเบาไปทีเดียว...

วันนี้มีนัดกับ เพื่อนเป้ ที่อยู่คณะกษตรว่าจะเป็นเพื่อนไปดูลูกหมูที่ฟาร์มแผนกสัตวบาลที่อยู่ด้านหลังคณะเกษตรไปราว 500 เมตร เข้าทางด้านหน้าตึกเคมีก็ได้ ที่บริเวณนั้นเป็นป่าหญ้าคาบางแห่งรกทึบ เพื่อนเป็นสมาชิก เอฟ เอฟ ที นัดพบกันตอนบ่ายโมง พอถึงเวลาก็เห็นเจ้าเพื่อนรักยืนรออยู่กับสองล้อคู่ชีพเราทั้งสองต่างพากันไปยังจุดมุ่งหมายโดยเพื่อนนำทาง พอไปถึงคอกหมูซึ่งทางมหาวิทยาลัยจัดทำ ตามหลักวิชาการอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจึงบอกเพื่อนไปว่า....

                “เป้นายดูคนเดียวไปก่อนนะปวดฉี่วะ”

เพื่อนกำลังดูลูกหมูอยู่ข้าพเจ้าเดินออกจากโรงหมูไปที่ป่าหญ้าคาห่างประมาณ 50 เมตร ยังไม่ทันจะได้ถอดเข็มขัดสายตาเหลือบไปเห็นสุนัขแม่ลูก 3 ตัวเจ้าลูกรู้สึกว่าโตกำลังจะหย่านมวิ่งตามมาติดๆ ส่วนแม่นั้นผอมโซคงอาศัยอยู่ที่นี่เพราะได้อาหารเหลือจากโรงหมูกระเด็นออกมา แล้วก็ทำให้นึกไปถึงเด็กสองคนที่ขนเนื้อจากสวนนอก หากวันนั้นลงไปเปิดดูซักหน่อยหากเป็นเจ้าลายเสือจะได้ของมาจัดการฌาปนกิจให้จะได้เกิดในภพที่สูงขึ้น...

ความคิดต้องหยุดลงเมื่อภาพที่อยู่ตรงหน้าบนคลองจักษุมีสุนัขเพศผู้ผอมโซวิ่งออกมาจากพงหญ้าตามสุนัขแม่ลูกอ่อนรูปร่าง พระเจ้าช่วยมันช่างคล้ายเจ้าลายเสือแต่ผอมโซไม่มีสง่าราศีทันทีที่ได้คิดลองเรียกดู...?

                “ลายเสือ พ่ออยู่ทางนี้”

สุนัขตัวนั้นหยุดทันทีแล้วหันมามองสักครู่เดินกระดิกหางเข้ามาหา ข้าพเจ้าดีใจจนพูดอะไรไม่ออกจับมันมากอดแล้วลูบหัว เจ้าลายเสือก็เลียตามแขนข้าพเจ้า พานจะดราม่าให้ได้ คงหิวโซดูจากพฤติกรรมของมันแล้วรู้โดยสัญชาติญาณว่าเจ้าลายเสือยังห่วงหาอาวรณ์สุนัข 3 แม่ลูก ข้าพเจ้าจึงคิดได้ว่ามันคงมาติดสุนัขแม่ลูกแสดงว่าลายเสือเป็นหนุ่มพร้อมที่มีครอบครัวแล้วตามสัญชาติญาณของสัตว์โลกยึดไว้คงไม่ได้ประโยชน์ รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ก็ดีและนับเป็นบุญแล้ว จึงตัดสินใจปล่อยเจ้าลายเสือ เจ้าลายเสือหันมามองด้วยตาที่สดใสตรงข้ามกับร่างกาย แล้วก็หันหลังวิ่งตาม 3 แม่ลูกไป ข้าพเจ้าได้แต่ร้องในใจว่า...

ไปดีเถอะนะลายเสือ...??



Last updated: 2015-06-06 11:56:29


@ แสนเสียดายลายเสือที่น่ารัก
 


 
     
เชิญท่านเป็นบุคคลแรกที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความ แสนเสียดายลายเสือที่น่ารัก
 
     
     
   
     
Untitled Document
 



LFG
www.lookforest.com|บทความ|โปรแกรมคาร์บอนต้นไม้|ฐานข้อมูลชีวภาพ|เครือข่ายฟาร์มป่าไม้|ติดต่อบรรณาธิการ
Powered by: LOOK FOREST GROUP
23/1 ซอยรัชดาภิเษก 64 แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กทม.
Clicks: 
1,954

Your IP-Address: 3.147.76.183/ Users: 
1,952