จะทำอะไรให้สำเร็จ ต้องคิดว่าจะสำเร็จก่อน
 
     
 
สืบจาก...ส.
ขณะเดินทางเข้าสู่จุดหมายสังเกตหมู่ไม้โดยรอบเป็นป่าดิบแล้ง มีไม้ยางขึ้นตามริมร่องน้ำไม้ประดู่ ไม้พะยูง ไม้ตะเคียนหิน
 

จุ๊กกรู...จุ๊กกรู...จุ๊กกรู...เสียงนกร้องไม่ดังนักมาจากเหนือลม  คงมีพวกเราเดินล้ำหน้าไปแล้วประมาณเกือบกิโลเห็นจะได้  เนื่องจากสภาพป่ายามนี้เงียบสงบ ยอดไม้ไหว ระริก ระริกเพียงแผ่วๆ คนที่เดินนำหน้าข้าพเจ้า คือประเวศ เจ้าหำธีรศักดิ์  คำทวี สำหรับพวกที่ส่งสัญญาณเสียงนกร้องเป็นพนักงานพิทักษ์ป่า มีสานนท์เป็นผู้นำ ตามด้วยเจ้าน้อย เจ้าอ๊อด และเจ้าตั๊บ  พวกเราเข้าป่ามาคราวนี้เนื่องจากสายข่าวแจ้งว่ามีพวกลักลอบตัดไม้มืออาชีพได้เข้าป่าทางทิศใต้บ้านขยอง ซึ่งเป็นหมู่บ้านติดชายป่าจึงได้ระดมพลรวบรวมกำลังที่มีอยู่ได้ 8 นาย ให้เจ้าแมวขับรถมาส่งที่ชายป่า สัญญาณที่ได้รับหมายความว่า....ทราบเป้าหมายแล้วหยุดรออยู่...ข้าพเจ้ากระซิบบอก ประเวศให้เร่งเดินทางไปสมทบ ไม่ถึง 20 นาทีทุกคนมาพร้อมหน้ากัน ประเวศพูดด้วยเสียงเบาๆเป็นคนแรกว่า...

“เฮ้ย...น้อยสถานการณ์เป็นยังไง เล่าให้หัวหน้าฟังอย่างย่อ ไม่เอาน้ำ เอาแต่เนื้อ”

เจ้าน้อย เสริม  ทองจันทร์ พนักงานพิทักษ์ป่า บ่นพึมพำคงจะให้พรประเวศในใจเป็นแน่ แล้วรายงานว่า...

“เสียงเลื่อยเพิ่งหยุดประมาณ 20 นาทีคิดว่าคงจะพักกินข้าว”

แล้วคนที่กระทู้ถามต่อเป็นเจ้าหำ... “จับทิศทางได้ไหมว่ามันอยู่ทิศไหน?”

เจ้าน้อยตอบทันที... “จากที่เรายืนอยู่ไปทางทิศตะวันออกไม่น่าเกิน 1 กิโลเมตร”

ข้าพเจ้าเห็นว่าเวลาขณะนี้จะเลยอาหารกลางวันไปก่อนจึงให้ฝ่ายเสบียงจัดการนำผ้าพลาสติกมาปู แล้วนำสำรับกับข้าวมาวาง ทุกคนนั่งล้อมวงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ ประกอบกับน้ำในกระติกที่เตรียมมาก็หมดข้าพเจ้าจึงให้หยุดพักย่อยอาหาร 15 นาที โดยได้วางแผนดำเนินการระหว่างรับประทานอาหารแล้วให้จับคู่แบ่งกำลังเหมือนที่เคยปฏิบัติ เมื่อใกล้จุดเกิดเหตุประมาณ 50 – 100 เมตร ให้ส่งสัญญาณเป็นเสียงนกเขาขัน จำนวน 3 ครั้ง หลังจากนกเขาขันประมาณ 10 นาที เข้าชาร์ทได้ทันที ข้าพเจ้าจับคู่กับเจ้าน้อย ประเวศกับเจ้าอ๊อด เจ้าหำธีรศักดิ์กับเจ้าตั๊บและ     สานนท์พ่วงไปอีกคน เอาแผนที่ภูมิประเทศมาตราส่วน 1 : 50,000 มากางกำหนดจุดกว้าง ทุกคนเข้าใจดี...?

พอมีคำสั่งปฏิบัติ ทุกคนมุ่งสู่ทิศตะวันออก เพื่อให้การเข้าสู่เป้าหมายได้ถูกต้อง คณะเรามีสามสายจึงต้องแบ่งให้สายของธีรศักดิ์ ขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ สายประเวศไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ข้าพเจ้าตรงเป้าหมาย...

ขณะเดินทางเข้าสู่จุดหมายสังเกตหมู่ไม้โดยรอบเป็นป่าดิบแล้ง มีไม้ยางขึ้นตามริมร่องน้ำไม้ประดู่ ไม้พะยูง ไม้ตะเคียนหิน เป็นต้น ยังอุดมสมบูรณ์อยู่แม้แต่ร่องน้ำฤดูนี้ใกล้จะเข้าหน้าแล้งแล้วยังมีน้ำใสไหลรินพอได้อาศัยดื่มกิน เป็นเสน่ห์ของป่าอย่างหนึ่ง  แม้คนจะมีเงินทองนับร้อยล้านทั้งชีวิตอาจไม่เคยสัมผัสธรรมชาติเช่นนี้ นับเป็นบุญสำหรับผู้พบเห็น...

ขณะที่จิตกำลังเพลิดเพลินไปกับธรรมชาติข้างทาง ทันใดนั้นหูได้ยินสัญญาณบอกว่ามีทีมงานเข้าสู่เป้าหมายแล้ว ข้าพเจ้าจึงให้เจ้าน้อยนำทางพยายามเดินใช้ต้นไม้บังร่างเอาไว้ เราทั้งสองคนมายืนอยู่หลังต้นกระบากใหญ่ มองไปข้างหน้าเห็นชายคนหนึ่งกำลังนั่งสูบบุหรี่พ่นควันแล้วอัดเข้าปอดอย่างมีความสุข ข้างๆมีสุนัขสีดำนอนเฝ้าอยู่ ถัดออกไปประมาณ 2 เมตร มีต้นประดู่ขนาดกลางล้มลง ท่อนโคนถูกแปรรูปไปแล้วกะระยะทางที่พวกเราอยู่น่าจะห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 40 เมตร คิดว่าพวกเราทุกคนคงจะมาอยู่ในตำแหน่งที่จะปฏิบัติการแล้ว  ยกนาฬิกาข้อมือดูเวลาตามที่ตกลงกันไว้ 10 นาที ทุกคนเดินออกจากจุดกำบัง...

พอมีเสียงย่ำเท้าเท่านั้นแหละ เพชฌฆาตสีดำปลอดสี่ขาเริ่มเห่ากรรโชกทันที....โฮ้ง...โฮ้งๆๆๆ... เจ้ามือเลื่อยยืนขึ้นอย่างสัตว์ร้ายที่ระแวงไพร มองมาที่พวกเราเห็นเดินเข้ามาหาทั้งสามด้าน และแล้วก็ตัดสินใจวิ่งฝ่าไปด้านสานนท์และเจ้าตั๊บ ภาพที่เห็นเจ้าผู้ร้ายในชั้นแรกมุ่งไปทางขวาพอเจอเจ้าตั๊บหนวดเครารุงรังเปลี่ยนทิศไปหาสานนท์ เพราะเห็นตัวเล็กบอบบาง  เจ้าหำธีรศักดิ์ คำทวี วิ่งตามเข้าสมทบ สานนท์ตะครุบตัวได้  แต่ถูกสะบัดหลุดด้วยแรงพิเศษที่มักจะเกิดกับคนกำลังกลัวแล้ววิ่งหายเข้าป่าทางทิศใต้ไปอย่างรวดเร็ว ข้าพเจ้าจึงร้องตะโกนไปว่า...!?

“ไปดูสานนท์หน่อย พาตัวตัวมาที่เกิดเหตุ”

พอทุกคนมารวมกันที่เกิดเหตุ เจ้าน้อยร้องทักก่อน...?

“พี่หำชอบจับผิดตัว คราวก่อนก็ไล่ใครไม่ไล่มาไล่ผม กว่าจะรู้ว่าเป็นพวกเดียวกันคนตัดไม้หนีไปไกลแล้ว”

ทุกคนหัวเราะเพราะเหตุการณ์ในการไล่จับผู้ต้องหาในป่ามันชุลมุนจริงๆ บางครั้งไล่พวกเดียวกันแทบตาย มารู้ทีหลังผู้ต้องหาไปไกลจนตามต่อไปไม่ทัน ข้าพเจ้าจึงถามประเวศว่า... “สายคุณทำไมออกมาช้า”

ประเวศตอบว่า... “พอผมออกมาหมาสีดำมันวิ่งมาทางผมจึงต้องเอาตัวรอดก่อน เสียเวลาวิ่งหลบ แต่หมาสีดำเหมือนเสือท่าทางจะดุ รูปร่างมันสวยหางมีดอกสีขาวเสียด้วย น่าจับไปเลี้ยง”

ข้าพเจ้าจึงสอบถามว่ามีใครบาดเจ็บตรงไหนบ้าง มีสานนท์คนเดียวที่ข้อเท้าเคล็ดแต่ไม่มากนัก จึงสั่งให้ตรวจที่เกิดเหตุ  สิ่งที่พบคือต้นประดู่ถูกตัดล้มลงคาตอ จำนวน 1 ต้น ตัดทอนได้ 2 ท่อน แต่ละท่อนยาว 3 เมตร 20 เซนติเมตร ขนาดวัดรอบโคนต้นโต 270 เซนติเมตร ท่อนโคนถูกแปรรูปไปแล้วได้ไม้เสาเหลี่ยม หน้าตัด 6 นิ้ว ยาว      3 เมตร 20 เซนติเมตร เหลี่ยมที่ 2 ไม้หนา 8 นิ้วยาวเท่ากัน ข้างกองไฟมีเลื่อยโซ่ยนต์ยี่ห้อ สตีล สีขาว - ส้ม 1 เครื่อง ใช้การได้ดี รอบๆกองไฟมีขวดน้ำชูกำลัง 2 ขวด ซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 4 ซอง มีซองยาสูบพร้อมกระดาษสีขาว 1 ซองและถุงปุ๋ยสีกระดำกระด่างเก็บอุปกรณ์เลื่อยโซ่ยนต์ เช่น คีมล็อก ตะไบหางหนู ด้ายตีเส้น ผงถ่านสีดำ ขณะที่กำลังสำรวจที่เกิดเหตุได้ยินเสียงเรียกจากประเวศว่า...!!!      

“พี่ทศ มาทางนี้หน่อย”

ข้าพเจ้ากับเจ้าน้อยรีบเดินตามเสียงประเวศเรียก ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกไปประมาณ 15 เมตร พบเปลผ้าร่มผูกติดต้นไม้สองต้น ต้นหนึ่งเป็นประดู่เล็กและต้นตะแบก มีเสื้อลายพรางสีมอๆเก่ามากแล้ว ใต้ต้นไม้มีถุงผ้า พบเพียงผ้าขาวม้าหนึ่งผืนและมีดปลายแหลมใช้อเนกประสงค์หนึ่งเล่ม พอไปถึงจึงสั่งไปว่า...

“บันทึกภาพไว้ก่อนอย่าเพิ่งแตะต้องของกลาง”

เมื่อธีรศักดิ์บันทึกภาพเสร็จจึงให้ประเวศถอดเปลและเก็บเสื้อมากองรวมกันไว้ ขณะที่ประเวศกำลังปฏิบัติงานอยู่นั้น ได้ยินเสียงร้องอย่างประหลาดใจ...?

“พี่เสื้อลายพรางเป็นของทหารที่มีชื่อนามสกุล และสังกัดปักไว้ที่หน้าอก”

ข้าพเจ้ารีบขอเสื้อไปพิจารณาดู เป็นเสื้อลายพรางของทหารแต่เก่ามากมีรอยขาดวิ่นที่ชายเสื้อ ตัวหนังสือที่ปักที่ตัวเสื้อกลายเป็นสีขาวเกือบจะดำ ในใจคิดว่าประเวศคงรู้แล้วละว่าหลักฐานชิ้นนี้สำคัญขนาดไหน เราต่างมองหน้ากัน ส่วนเจ้าน้อยใบหน้าสงบเพราะไม่รู้เรื่องว่าเราคิดอะไร ข้าพเจ้าจึงเรียกประเวศมาบอกว่าเรื่องนี้อย่าเพิ่งบอกพวกเราเดี๋ยวไก่ตื่นหมด ประเวศพยักหน้าตอบรับ ข้าพเจ้าจึงสั่งให้ประเวศทำการบันทึกตรวจยึด-จับกุม เจ้าอ็อดวัดไม้ของกลาง  และถามว่าจะยึดทั้งหมดหรือไม่? จึงบอกไปว่าเอาเฉพาะไม้แปรรูปเพราะขนย้ายลำบาก จึงให้ตีตรายึดไม้ จำนวน 2 ท่อน/เหลี่ยม ทีมงานจัดการกับของกลางเรียบร้อยพอดีกับประเวศบันทึกการตรวจยึด-จับกุมเสร็จจึงพากันลงนาม มองดูเวลาใกล้จะสี่โมงเย็นแล้ว จึงชวนกันกลับพรุ่งนี้ค่อยมาขนไม้ของกลาง คิดว่าไม่น่าหาย กลับถึงที่พักค่ำพอดีต่างแยกย้ายช่วยเหลือตัวเองพักผ่อนตามอัธยาศัย...

รุ่งเช้าหลังจัดการกับกาแฟหนึ่งถ้วยปาท่องโก๋ 4 ตัว ก็สั่งเจ้าหำเลือกสมัครพรรคพวกไปขนไม้ของกลางมาเก็บไว้ตัวข้าพเจ้ากับประเวศ พากันไปส่งคดีที่สถานีตำรวจภูธรตำบลดม ซึ่งแยกตัวมาจากอำเภอสังขะ และเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนี้ทุกคนก็คุ้นเคยกันดี  พอถึงโรงพักให้ประเวศนำบันทึกการจับกุมไปลงบันทึกประจำวัน เสร็จแล้วให้ไปพบข้าพเจ้าที่ห้องสารวัตรใหญ่ ซึ่งจะเข้าไปประสานงานก่อน  ต่างคนต่างแยกกันไป ข้าพเจ้าตรงดิ่งเข้าไปยังห้องของหัวหน้าสถานี ปรากฏว่าวันนี้อยู่จึงเดินเข้าไปท่านเงยหน้าขึ้นมาพอดีทักก่อนว่า...

“คุณทศมีอะไรจะให้รับใช้มิทราบ”

ข้าพเจ้ายกมือไหว้แล้วกล่าวตอบ...

“มิบังอาจ กระผมจะมาขอความกรุณาจากพี่”

ว่าแล้วก็ขยับเก้าอี้นั่ง เล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังว่า  สายข่าวว่ามีออเดอร์ไม้ประดู่จากญี่ปุ่น ตอนนี้พวกลักลอบตัดไม้กำลังเร่งหาส่ง เจ้าของพื้นที่ฟังแล้วบอกตอบว่า ทางตำรวจก็ได้ข่าวมาเช่นกัน  ข้าพเจ้าเลยถือโอกาสประสานงานทันที  ท่านสารวัตรใหญ่บอกว่ามีอะไรให้ช่วยบอกได้เราต้องร่วมมือกัน พอเสร็จเรื่องการประสานงานพอดีกับประเวศมาสมทบ จึงเลื่อนเก้าอี้ให้นั่งข้างๆ และถามว่า...? “ใครเป็นพนักงานสอบสวน?”

ประเวศตอบว่า.. “ร.ต.ต.ประชิด สามาลย์ เข้าเวรถามว่าจะไปดูที่เกิดเหตุก็ไม่ไป บอกว่าผังและแผนที่เกิดเหตุสมบูรณ์แล้ว”

แล้วประเวศก็หยิบเสื้อลายพรางที่ยึดมายกมากางให้หัวหน้าสถานีตำรวจดู ข้าพเจ้าเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่ใต้กระเป๋าเสื้อซ้ายมือมีรูกว้างประมาณ 2 เซนติเมตร แต่ความเก่าของเสื้อทำให้ขอบรูขาดลุ่ย จึงถามสารวัตรจูม      (พ.ต.ต.จูม พันมา) ไปว่า...  “ที่อกเสื้อมีปักชื่อและสังกัด พี่จะให้ผมทำหนังสือลับ สอบถามถึงสถานะตัวบุคคล หรือจะให้พนักงานสอบสวนจัดการ”

                หัวหน้าสถานีบอกว่า...  

“ให้ รองประชิด สามาลย์ดีกว่า น้ำหนักมากกว่าและเป็นหน้าที่ด้วย 2 วัน ให้คุณทศมารอฟังข่าว”

                กลับจากสถานีตำรวจมาถึงหน่วย ทีมงานที่ขนไม้ของกลางยังไม่กลับ  จัดการกับอาหารกลางวันเสร็จมานั่งพักในห้องทำงาน สักครู่เห็นประเวศ ตามมาคุยด้วยและถามขึ้นก่อนว่า...

                “เสื้อพวกนี้มันมีขายในตลาดเกลื่อนไปหมด อาจจะไม่ใช่ทหารก็เป็นได้”

                “ผมก็คิดเหมือนคุณ ถ้าเป็นก็เป็นของพลทหารปลดประจำการแล้ว แต่เราไม่มีทางสืบอย่างอื่นก็ลองดูไปก่อนดีว่าสารวัตรเอาด้วย คงจะวิทยุสอบถามกันเป็นทางลับ เพราะทหาร ตำรวจเขาทำงานด้านยุทธการด้วยกันคงไม่ยาก”

                ข้าพเจ้าตอบให้ผู้ร่วมงานรู้ถึงความในใจ คิดว่ามีเบาะแสอะไรก็ตามไปก่อน ผลค่อยว่ากันอีกที...

                พอบ่ายแก่ๆทีมงานที่ไปขนไม้ของกลางกลับ เมื่อเก็บไม้เรียบร้อยแล้วมานั่งพักกันที่โต๊ะรับแขกโรงรถข้างๆที่ทำงาน ประเวศเดินไปทักทายสอบถามถึงการทำงาน ซึ่งได้รับคำตอบว่า ไม่ลำบากมากนัก เจ้าน้อยได้โอกาสถามประเวศว่า...?

                “พี่เวศ ว่าไหม?  คดีนี้ได้ตัว เล่นทิ้งเสื้อไว้มีชื่อและหน่วยงานด้วยรอดยาก”

                เจ้าอ็อดซึ่งสุขุมกว่าพวกในบรรดาพิทักษ์ป่าพูดขึ้นบ้างว่า...

                “เสื้อมันเก่าเกินไป ผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่? ได้แต่หวัง พวกเราจะได้ไม่เหนื่อยฟรี”

                ประเวศ จึงแจ้งทีมงานฟังว่า 2 วัน ทางสถานีตำรวจจะแจ้งให้เราทราบ...

                วันที่เรารอคอยมาถึง เจ้าแมวขับรถยนต์บรรทุกไดน่า กระบะสองตันออกมา พอทุกคนรู้ว่าจะไปสถานีตำรวจภูธรตำบลดม ต่างแย่งกันขึ้นรถ ไม่ถึงชั่วโมงรถมาจอดที่หน้าตัวอาคาร ข้าพเจ้ากับประเวศ พากันไปพบ ร.ต.ต.ประชิด สามาลย์ เจ้าของคดี  กำลังนั่งพิมพ์สำนวนคดีชาวบ้านทะเลาะวิวาทกัน พอเงยหน้าพบข้าพเจ้าจึงยกมือไหว้ ทักทายกันพอสมควร  หมวดหนุ่มยื่นหนังสือตอบกลับตามที่ได้สอบถามไป เป็นวิทยุของทางราชการ ประทับตราตราชั้นความลับว่า “ลับมาก” ในหนังสือตอบพอสรุปได้ว่า...

                “บุคคลที่มีชื่อและนามสกุลตามที่ถามไป เป็นพลทหารซึ่งถูกส่งไปประจำการตามแนวชายแดนประเทศไทย-ราชอาณาจักรกัมพูชา ท้องที่อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ เมื่อปี่ที่แล้วเกิดปะทะกับกองกำลังต่างชาติเขมรแดง ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อปีที่แล้ว”

                พออ่านจบก็ยื่นให้ประเวศอ่านบ้าง ในใจสิ้นสุดกันที คนที่อาจเสียใจที่สุดน่าจะเป็นเจ้าน้อย  พอประเวศอ่านจบไม่ว่าอะไร  พวกเราทั้งสองลงจากโรงพัก ประเวศแยกไปแจ้งพวกเราเพื่อเดินทางตรวจลาดตระเวนในพื้นที่รับผิดชอบไปตามเส้นทางไปบ้านกะเลงเวก แล้วเลยไปตามเส้นทางไปบ้านคะนา บ้านขยอง ลงแวะร้านค้าในหมู่บ้านหาน้ำเย็นๆ    มาดื่มแก้กระหายพอข้าพเจ้าเดินไปเตรียมขึ้นรถตาเหลือบไปเห็นสุนัขสีดำตัวหนึ่งลักษณะดีรูปร่างแข็งแรง  แต่ที่สะดุดตาคือหางมันมีสีขาวปนที่ปลายหาง...

                ความคิดชนิดหนึ่ง แล่นเข้าไปในสมองว่าได้การแล้ว  จึงเรียกเจ้าน้อยซึ่งกำลังสิ้นหวังให้มาแล้วกระซิบบอกไปว่า...  “น้อยดูหมาตัวนั้นซิ จำมันได้หรือเปล่า?”

                เจ้าน้อยเพ่งพิจารณา ในตอนแรกยัง งงๆว่าถามทำไมเรื่องหมาๆก็ไม่รู้คงคิดว่าข้าพเจ้าเพี้ยนไปแล้ว พอสั่งการไปว่า... “น้อยชวนไอ้อ็อดไปดูซิว่าใครเป็นเจ้าของหมาตัวนี้”

                ข้าพเจ้าเรียกประเวศมาบอกว่าพวกเราไปนั่งรอที่ร้านค้าดีกว่า สักครู่เจ้าน้อยมารายงานว่าเป็นสุนัขของหญิงวัยกลางคน บ้านอยู่ท้ายหมู่บ้านขยองหลังสุด  บ้านใต้ถุนสูงหลังคามุงสังกะสีสีเขียวมีหลังเดียว เจ้าน้อยหลอกถามได้ความว่ามีผัวนอนเฝ้าบ้านคนเดียว ข้าพเจ้าจึงให้ประเวศ ไปประสานงานกับพนักงานสอบสวนขอเจ้าหน้าที่ตำรวจไปด้วย  หนึ่งนาย...

                รถบรรทุกคณะเจ้าหน้าที่มุ่งสู่เป้าหมาย พอถึงให้กระจายกำลังล้อมบ้านไว้ แล้วให้พี่จ่าเรียกเจ้าของบ้านออกมา พอชายเจ้าของบ้านซึ่งนุ่งกางเกงขาสั้นเปิดประตูออกมา สานนท์สะกิดข้าพเจ้าบอกว่าใช่แล้วพี่ไอ้คนนี้แหละที่ผมตะครุบตัวไว้ไม่ได้  พี่จ่าแกตะล่อมเอาตัวไปโรงพักจนได้ พอพวกเราชี้ตัวเสร็จ พี่จ่าจับเข้าห้องขัง พนักงานสอบสวนออกมาส่งก่อนที่พวกเราจะกลับ พูดกับข้าพเจ้าว่า...

                “ตั้งแต่ผมทำคดีมาเพิ่งเห็นพี่ทศนี่แหละสืบสวนสอบสวนจากหมา ต่อไปจะเอาบ้างไม่เลวเหมือนกันนะพี่”

                ข้าพเจ้าได้แต่ยิ้ม แล้วพูดกับประเวศว่า..

                “เป็นยังไงคุณ สืบจากสุนัขเสียชื่อหมด”

                เส้นผมบังภูเขาได้ฉันใด การสืบสวนสอบสวนย่อมอาศัยปฏิภาณไหวพริบเช่นกัน


Last updated: 2015-04-19 21:56:51


@ สืบจาก...ส.
 


 
     
เชิญท่านเป็นบุคคลแรกที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความ สืบจาก...ส.
 
     
     
   
     
Untitled Document
 



LFG
www.lookforest.com|บทความ|โปรแกรมคาร์บอนต้นไม้|ฐานข้อมูลชีวภาพ|เครือข่ายฟาร์มป่าไม้|ติดต่อบรรณาธิการ
Powered by: LOOK FOREST GROUP
23/1 ซอยรัชดาภิเษก 64 แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กทม.
Clicks: 
1,565

Your IP-Address: 18.116.52.43/ Users: 
1,563