ในการศึกสงครามสมัยโบราณกาลมีสำนวนหนึ่งที่เปรียบเปรยถึงความยิ่งใหญ่ มีอำนาจบารมีที่ทุกท่านเคยได้ยินคือ ขุนศึกจะเกรียงไกร เพราะไพร่พล ในความหมายที่เป็นจริงต้องมองเป็นบวก บางคนตีความว่าต้องมีกำลังพลมากนั้นยังไม่ถูกต้องนัก เพราะถ้ามีแต่ไพร่พลเลว จะเอาปัญญาที่ไหนชนะสงครามหรือเหล่าอริราชศัตรูได้...
ที่ขึ้นโหมโรงมาอย่างนี้เพราะได้ข่าวว่ากรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กำลังจะมีการเสริมกองทัพของตนให้แข็งแกร่ง มิใช่เป็นการเพิ่มไพร่พลแต่เพียงการสอบคัดเลือกบุคคลที่น่าจะมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นพนักงานราชการ ตำแหน่ง พนักงานพิทักษ์ป่า ให้สมชื่อทำไมถึงกล่าวเช่นนั้นเพราะ พนักงานที่จะมีสิทธิ์เข้าสอบต้องมีอายุงานในกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยเคยเป็นพนักงานลูกจ้าง ที โอ อาร์ ไม่น้อยกว่า 5 ปี แสดงว่ามิได้เป็นการเพิ่มกำลังเพียงแต่เพิ่มความมั่นคงในวิชาชีพ เผื่อว่าเมื่อมีความมั่นคงแล้วจะอุทิศตนให้เกิดประโยชน์แก่กรมมากขึ้นกว่าเดิม เป็นการเสริมขวัญและกำลังใจ นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้น ควรหาตำแหน่งให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ เนื่องจากรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีพื้นที่ป่าไม้ต้องดูแลมาก เพราะเป็นพื้นที่เป็นแหล่งรวมความหลากหลายทางชีวภาพ ขณะเขียนเรื่องนี้ยังไม่ทราบเกณฑ์การคัดเลือกว่าใช้รูปแบบใด ทราบแต่ว่ามีการทดสอบสมรรถภาพร่างกายโดยการวิ่ง 5 กิโลเมตร ภายในกำหนดเวลา และไม่จำกัดเพศเพราะอาจจะขัดกับสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เพราะผู้หญิงเป็น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นทหาร ตำรวจ และรัฐมนตรี ตลอดถึงนายกรัฐมนตรีก็มีให้เห็นแล้ว งานอุทยานแห่งชาติก็มีกิจกรรม มัคคุเทศก์ แม้แต่งานปราบปรามก็ยังนำไปใช้โดยมีไว้สำหรับตรวจค้นผู้ต้องหาผู้หญิง ซึ่งผู้ชายกระทำไม่ได้� หากเธอสามารถวิ่ง 5 กิโลเมตรในเวลาที่กำหนด สอบผ่านด่านแรกได้ถือว่าไม่เบา...?
คราวนี้เรามาพูดถึงจะใช้เกณฑ์การตัดสินอย่างไรจึงจะได้พนักงานราชการ ตำแหน่ง พนักงานพิทักษ์ป่าที่เหมาะสมกับชื่อ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องตระหนักไว้ให้มากคือรัฐบาลนี้ต้องการ ความโปร่งใส ลองมาวิเคราะห์ดูว่าการสอบคัดเลือกในครั้งนี้จะดำเนินการอย่างไร ผู้เขียนเคยเป็นคณะกรรมการสอบคัดเลือก พนักงานพิทักษ์ป่ามาแล้ว 2 ครั้งๆ แรกที่สำนักงานป่าไม้เขตอุบลราชธานี ครั้งที่สองที่โรงเรียนสารวิทยา หน้ากรมป่าไม้ โดยกรมจัดการสอบเอง การสอบคัดเลือกบุคคลไม่ว่าจะเป็นการสอบอะไร มีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครจะกล้าให้คำรับรองว่าจะบริสุทธิ์ยุติธรรม เพราะประเทศไทยไม่ว่ายุคใดสมัยใดย่อมจะหนีคำว่า“เสียเงิน”กับ“เส้นสาย”ไปไม่พ้นเนื่องจากยังติดยึดอยู่กับระบบอุปถัมภ์ การสอบที่ผ่านมาประกอบด้วยองค์สาม คือ สมรรถภาพของร่างกาย ทดสอบโดยการวิ่ง สองเป็นข้อเขียนส่วนใหญ่จะเป็น ปรนัย คือวงกลมหรือกาข้อที่ถูก สามสัมภาษณ์ รวมคะแนนอย่างละ 100 เป็น 300 คะแนน...?
1.ข้อเขียนหนีไม่พ้นการบังคับใช้กฎหมายที่พนักงานพิทักษ์ป่าควรรู้ มักจะมีประมาณ 20 ข้อๆละ 5 คะแนน เช่นคำสั่ง ให้วงกลมหรือกาในข้อที่ถูกที่สุด
� 1.1 กฎหมายกำหนดให้บุคคลครอบครองไม้สักแปรรูปจำนวนเท่าใด?
ก. ไม่เกิน 0.02 ลูกบาศก์เมตร��� ข. ไม่เกิน 0.20 ลูกบาศก์เมตร
����� ค. ไม่เกิน 0.50 ลูกบาศก์เมตร��� ง. ไม่ว่าจำนวนเท่าใด
2.สำหรับการสัมภาษณ์นั้น เท่าที่มีประสบการณ์เคยนั่งร่วมคณะกรรมการซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติ และหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า คำถามส่วนใหญ่จะหนีไม่พ้น...
� 2.1 ความรู้ในงานที่เคยทำ
� 2.2 ความรู้ด้านการบันทึกการตรวจยึด – จับกุม โดยให้ลองบรรยายโดยย่อๆ ซึ่งคำถามนี้จะพบบ่อยแทบจะทุกกรรมการและผู้เข้าสอบส่วนใหญ่จะตอบข้อนี้ไม่ได้
ผู้เขียนสมัยที่ตามล่าพวกลักลอบตัดไม้พะยูง พยายามที่จะหากำลังสนับสนุน ได้พูดคุยถึงปัญหาบุคคลากรของเรากับผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์และป้องกันทรัพยากร ซึ่งเป็นเพื่อนกัน มีความเห็นควรเพิ่มเขี้ยวเล็บให้กับกำลังพลตามอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า รวมทั้งหน่วยป้องกันรักษาป่าในสังกัด มีหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ อบ.8 อุทยานแห่งชาติภูจองนายอย อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าบุณฑริก – ยอดมน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายอดโดม เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าพนมดงรัก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยศาลา และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน – ห้วยสำราญ เป็นต้น� โดยออกไปเสริมความรู้ให้แก่กำลังพลที่เป็นพนักงานพิทักษ์ป่าในด้านการดำเนินคดี เป็นการประชุมหรืออบรมเชิงปฏิบัติการ โดยผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์และป้องกันทรัพยากร ได้ของบไปยังกรมโดยเฉพาะ และกรมก็อนุมัติ มีวิทยากรบรรยายกฎหมายเบื้องต้นตลอดจนวิชาที่เกี่ยวข้อง สำหรับผู้เขียนเห็นว่าไปหลายแห่งคงจะรับไม่ไหว จึงขอให้คุณประเวศ� สุจินพรัหม ไปช่วยวิธีการก็ไม่มีอะไรมาก พอเดินทางไปถึงห้องประชุมทุกแห่ง ครั้งแรกคือแจกกระดาษ แล้วขึ้นไปวาดรูปที่กระดานไวท์บอร์ด เป็นรูปคนกำลังใช้เลื่อยมือตัดไม้ บางแห่งก็เป็นรูปตั้งห้างเลื่อยแปรรูปไม้ และแต่ละแห่งจะไม่ซ้ำกัน แล้วให้ทุกคนลองบันทึกการจับกุม ให้เวลา 1 ชั่วโมง พอหมดเวลาก็เก็บกระดาษคำตอบมาเพื่อจะวิจารณ์ว่า พนักงานพิทักษ์ป่าหรือผู้เข้ารับการฝึกอบรม คนใดมีข้อบกพร่องตรงไหนจะได้ช่วยเติมเต็มให้...
ปรากฏว่าแทบทุกหน่วยงานภาคสนาม ซึ่งแต่ละแห่งส่งพนักงานเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า เข้ามาอบรมประมาณ 20 – 30 คน� แต่ละแห่งจะมีเขียนจนจบเป็นเรื่องราว 2 ใน 30 คน คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นขึ้นหัวเรื่อง ได้ 3 – 4 บรรทัด น้อยคนที่จะเขียนได้ครึ่งหน้ากระดาษ A4 เลยแจกคืนให้ไปทำเป็นการบ้าน...
พอเรารู้แสนยานุภาพของกองทัพเราแล้ว เล่นเอาผู้เขียนแทบจะนอนเอามือก่ายหน้าผาก นั่งนึกไปถึงกีฬาหมากรุก กำลังพลของเราก็เป็นเพียงเบี้ยธรรมดา อาจมีเบี้ยหงายสัก 2 – 3 แล้วเราจะพัฒนาองค์กรไปในทิศทางใด การเขียนการอ่านยังไม่แตกฉานพอที่พัฒนาไปในด้านการเขียนหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นร่างหนังสือราชการ โต้ตอบหน่วยงานในท้องที่เลย เซนชื่อรับเงินเดือนยังมือสั่น ดังนั้นเราควรเปลี่ยนยุทธวิธีสำหรับบุคคลเหล่านี้ไปในทาง ฝึกลาดตระเวน แกะรอย หาข่าว หรือให้ทำหน้าที่เป็นรั้วของหน่วยงานจะดีกว่า เราไม่ควรให้ความสำคัญกับการบันทึกจับกุมมากเกินไป แต่สำหรับผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นงานด้านปราบปรามจะช่วยแบ่งเบาภาระของหัวหน้าได้มาก เพราะคนเป็นหัวหน้าในระบบราชการงานหลักคือ ประชุม ที่จริงเบื้องบนมีอะไรก็สั่งทางวิทยุก็ได้ แต่ก็นั้นแหละในปัจจุบันหาเบื้องบนที่จะกล้าตัดสินใจนั้นยากยิ่ง อย่างน้อยประชุมไว้เป็นเกราะกำบังกายไว้ก่อน งานจึงล่าช้าและไม่จบสิ้นเสียที...
การสอบบุคคลเพื่อรับเป็นพนักงานราชการ ตำแหน่งพนักงานพิทักษ์ป่า เท่าที่ประสบพบเห็น จะมีการร้องเรียนตลอดว่าไม่ยุติธรรม ในครั้งที่ให้สำนักงานป่าไม้เขตอุบลราชธานีสอบเมื่อปี 2539 ก็ถูกร้องเรียนกว่าจะประกาศผลได้ต้องตรวจแล้วตรวจอีก ดูเหมือนว่าในครั้งนั้นกรมจะขอหลักฐานการสอบทั้งหมด ไม่ว่าข้อสอบ คำเฉลย คะแนนของคณะกรรมการทุกคนไปตรวจ แต่พอกรมเอาไปสอบเองบ้างก็โดนร้องเรียน กว่าจะประกาศผลได้เล่นเอาคนรอฟังข่าวเซ็งไปตามๆกัน� ฉะนั้นในการสอบครั้งนี้กรมไม่อยากจะถูกร้องเรียนจึงมอบให้ภาคท้องถิ่นเป็นผู้สอบ และอีกอย่างในยุครัฐบาลนี้ได้คาดโทษเรื่องการไม่โปร่งใสไว้มาก จึงขอฝากผู้ที่เป็นคณะกรรมการดำเนินการสอบคัดเลือกขอให้พึงตระหนักไว้ หากคณะท่านโปร่งใส ประโยชน์ก็จะมีขึ้นมหาศาล หนึ่งได้คนมีความรู้ความสามารถเข้าร่วมงานถึงแม้จะเป็นคนเก่า สองท่านจะช่วยให้องค์กรขาวสะอาด กรมควรหาตำแหน่งมาเสริมอีกได้แล้ว เพราะขณะนี้รูปร่างของโครงสร้างอัตรากำลังเป็นรูปขนมเปียกปูน พร้อมที่จะล้มรีบทำให้เป็นรูปปิรามิดเสียที...
การจะทำให้กำลังพลกลายเป็นรูปปิรามิด หมายถึงฐานของปิรามิดต้องมีความกว้างแสดงให้เห็นว่าเราต้องมีกำลังพลที่เป็นพนักงานพิทักษ์ป่าจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันนี้เรามีเป็นอัตราส่วนต่อการดูแลป่า 1 คน ต่อเนื้อที่ 3,000 – 4,000 ไร่ ฉะนั้นหน้าที่ของกรมจำเป็นต้องหมั่นขอตำแหน่ง หน่วยงานใดเป็นผู้อนุมัติ หากเป็น กพ. ก็ขอไปเรื่อยๆทุกปี หากขาดเงินก็ประสานสำนักงบประมาณ ตื้อเข้าไว้เปรียบได้กับ หากเราเหยียบหนามแล้วไม่ร้องว่าเจ็บ จะมีหน้าไหนมารู้ ผู้อ่านคงนึกหมั่นไส้ผู้เขียน ว่าเขียนไปเรื่อย...
ขอเรียนมาเพื่อโปรดทราบว่า ตนเองตอนจบมาเคยตกงาน 2 ปี เป็นลูกจ้างกรมป่าไม้ ไปถามกองการเจ้าหน้าที่ ก็ได้รับคำตอบว่า กพ.ไม่อนุมัติตำแหน่ง จึงได้ชวนพรรคพวกเดนตายบุกถึงสำนักงาน กพ.ทาง กพ.แจ้งว่าไม่เห็นกรมป่าไม้ขอตำแหน่งนักวิชาการป่าไม้มาเลย มีตำแหน่งพนักงานป่าไม้จัตวา ที่ขอมาเพื่อรองรับนักเรียนจากโรงเรียนป่าไม้แพร่ กพ.ให้ทำเรื่องขอมา สำหรับพวกตกงานในขณะนี้เอาตำแหน่งพนักงานป่าไม้จัตวา บรรจุไปก่อน แต่ว่าเป็นอัตราที่ไม่มีเงิน ขาดเงินจะทำอย่างไร ผู้เขียนจึงต้องพาพรรคพวกบากหน้าไปยังสำนักงบประมาณที่อยู่ตรงข้าม ได้รับคำตอบว่ามีเงินให้ขอมา พวกเราจึงได้บรรจุเป็นพนักงานป่าไม้ตรี แทนที่จะเป็นนักวิชาการป่าไม้ตรีตามวุฒิ ตำแหน่งอะไรก็ช่างขอให้ได้บรรจุ ผู้เขียนได้ชื่อว่า “ขอทานแห่งถนนพิษณุโลก” เรื่องราวเหล่านี้ท่านจะได้อ่านในโอกาสต่อไปในหัวเรื่อง “บุกถ้ำเสือ” คราวนี้เรามาว่ากันต่อหากมีฐานกำลังแล้ว ไพร่พลที่มีไม่ใช่แต่ปริมาณ ควรจะมีคุณภาพ ซึ่งการจะทำอะไรในประเทศไทย มีนักปราญช์ราชบัณฑิตท่านให้ข้อคิดว่าหากจะปฏิรูปคน ควรปฏิรูปหัวหน้าเสียก่อนจึงจะประสบผล สำเร็จ ขอให้ทุกท่านที่อยากเป็นหัวหน้าโปรดนำไปคิด ว่าท่านจะทำให้พนักงานพิทักษ์ป่าของท่านมีศักยภาพสูง พอที่จะได้ชื่อว่า“ขุนศึกจะเกรียงไกรเพราะไพร่พล”ได้หรือไม่...?
�

Last updated: 2015-03-29 11:03:11