ในช่วงวิกฤตการณ์ต้องคิดถึงคนอื่นให้มาก ๆ
 
     
 
ตึก 13 นะยะ
ตึก 13 เป็นอาคารสูงสามชั้น ชั้นล่างเป็นห้องโล่งแต่ด้านหัวท้ายก่อสร้างเป็นห้องสำหรับรับแขกที่มาติดต่อ ถือว่าเป็นห้องเยี่ยมญาติก็ว่าได้
 

.....ปีการศึกษาใหม่นี้มีโชคถึงสองชั้น ข้อแรกได้ขึ้นชั้นซีเนียร์แล้วข้อที่สองได้ย้ายจากหอ 16 ริมถนนวิภาวดีรังสิตหรือที่ชาวเกษตรเรียกว่าสวนนอก มาอยู่ใจกลางเกษตรานคร มหาวิทยาลัยเริ่มรับนิสิตมากขึ้นจึงจำเป็นต้องสร้างหอพักตึกพักขึ้นมาใหม่ให้พอต่อความต้องการของนิสิตที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว และประจวบกับคณะศึกษาศาสตร์ขยายตึกเรียนจึงเรียกคืนอาคารในสังกัด หอ 16 เป็นอาคารหนึ่งที่ถูกเรียกคืนเพื่อใช้เป็นห้องปฏิบัติการของคณะ ชาวหอทุกคนจึงจำเป็นต้องย้ายออกแตกซ่านกระเซนไปอยู่ที่ตึกสร้างขึ้นมาใหม่ สำหรับข้าพเจ้าได้ย้ายมาอยู่ตึกหมายเลขนำโชคของฝรั่ง คือตึก 13 ได้หมายเลขห้องที่ 03 เป็นเลขเดิม สิ่งที่ทำให้ไม่เหงาเนื่องจากรูมเมดที่เป็นปี 4 คือเพื่อนเป้ วีรวัฒน์ กุลสิงห์ เป็นสมาชิกจากหอเก่ามีน้องปี 1 อีกสองคนอยู่คณะเกษตรมีคนหนึ่งเป็นชาวต่างชาติเป็นชาวลาวชื่อ ท้าวภูทอง รูปร่างขาวเหมือนชาวจีนอ้วนพองามแต่ที่ประหลาดใจคือพูดภาษไทยได้ชัดมากจึงไม่เป็นอุปสรรคในการสื่อสาร....ตึก 13 เป็นอาคารสูงสามชั้น ชั้นล่างเป็นห้องโล่งแต่ด้านหัวท้ายก่อสร้างเป็นห้องสำหรับรับแขกที่มาติดต่อ ถือว่าเป็นห้องเยี่ยมญาติก็ว่าได้ ชั้นบนสองชั้นจำได้ว่ามีห้องชั้นละ 10 ห้องรวมเป็น 20 ห้องภายในห้องเหมือนหอทั่วไปมีเตียง 2 ชั้นและตู้คนละใบ ตรงกลางของแต่ละชั้นจะเป็นช่องทางเดินกว้าง 2.50 เมตรตลอดแนวตึก และตรงข้ามของทุกห้องจะเป็นห้องสุขาเปิดประตูห้องออกไปสามสี่ก้าวเข้าห้องสุขาพอดี หน้าต่างของห้องพักจะเป็นบานเกร็ดกระจกฝ้า มีมุ้งลวดทุกห้องมีนิสิตพักประมาณ 120 คนซีเนียร์ให้ประจำห้องละคนถึงสองคน กายภาพของตึกจะทอดยาวจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตกทั้งสองฟากจะมีบันไดขึ้นลงแต่ด้านทิศตะวันออกตรงชานชะลาที่ขึ้นลงบันไดจะจัดให้มีโต๊ะสำหรับรีดผ้าจะมีผ้ารองรีดสีขาวปูไว้พร้อมเตารีดไฟฟ้า 2 ตัวตั้งไว้ให้แล้วแต่ใครสะดวกใช้เมื่อใด แต่มีกฎห้ามนำไปรีดที่ห้องนอนโดยเด็ดขาด ส่วนด้านบนสุดของตัวตึกจะมีชั้นดาดฟ้าโล่งกว้างตลอดแนวตึกที่ประชุมลงมติให้ไว้เป็นที่ประชุม เพราะมีการเสนอให้เป็นที่ตากผ้าคณะกรรมการตึกจึงได้จัดให้มีราวตากผ้าที่ด้านข้างของตัวตึกอยู่แล้ว ก็รู้สึกว่าเป็นสัดเป็นส่วนดี หัวหน้าตึกพวกเราเลือกจากนิสิตปี 2 เพราะกำลังแอ็กทีฟ ได้มีการร่างกฎระเบียบการอยู่ตึกติดประกาศไว้ที่บอร์ดด้านล่างให้ทราบทุกคน...

....เช้านี้ตื่นขึ้นยังไม่ทันลุกจากเตียงได้ยินเสียงคนเคาะประตูห้องไม่ทันได้ถามมีเสียงทักมาก่อน...?

“พี่ครับ หนูขอเข้าห้องน้ำหน้าห้องพี่ชั่วคราวนะพี่ ห้องหนูไม่ว่าง”

ยังไม่ทันได้ตอบเสียงท้าวภูทองแทรกออกไปก่อนว่า... “รีบเข้าไอ้อ็อด พี่กำลังตื่น” 

ข้าพเจ้าเห็นเจ้าคนขอรีบหลบหน้าหายไปสักครู่ ได้ ยินเสียง ซู่...ซู่. ดังจากห้องน้ำไม่ถึง  5 นาทีก็เสียงก็หายไป สลัดผ้าห่มออกจากตัวแล้วลุกขึ้นเก็บที่นอนเรียบร้อยแล้วจึงถามว่า... “ภูทองใครมาขอเข้าห้องน้ำแต่เช้า” ภูทองตอบอย่างเบื่อหน่ายพร้อมส่ายหน้า...!!

“ไอ้อ็อดรุ่นเดียวกับผมอยู่คณะอักษรศาสตร์พักห้อง 1 ติดบันได มันเป็นคนไม่ชอบรอเห็นห้องน้ำใครว่างไม่ได้ต้องขอเข้าไว้ก่อน เขาเบื่อมันทั้งตึกแล้ว ผมว่าต่อไปมันต้องวิ่งขึ้นไปขอชั้น 3 แน่”

และท้าวภูทองก็คว้าขันน้ำแปรงฟันเดินพาดผ้าเช็ดตัวเปิดประตูตรงเข้าห้องน้ำ ข้าพเจ้าเป็นคิวสุดท้ายต่อคิวจากเพื่อนเป้เพื่อนหันมาถามว่า... “นารถ นายไม่มีวิชาเรียนตอนเช้ารึไง รีบตอบเพื่อนไปว่า...

“มีแต่เข้าสายหน่อยนายไปก่อนไม่ต้องรอ”

พอแต่งตัวเสร็จเปิดประตูห้องกำลังจะเดินออกไป พลันสายตาเหลือบไปเห็นเหมือนผู้หญิงนุ่งกระโจมอกเดินมาจากบันไดด้านตะวันออกหิ้วเสื้อแขนยาวสีขาวเดินมา พอเผชิญหน้ากันเธอย่อตัวพนมมือไหว้ทั้งที่มือถือเสื้ออยู่ และเสียงใสก็หลุดจากปากที่พยายามจีบให้เรียวเล็กว่า....!?

“หนูชื่ออ็อดที่ขอเข้าห้องน้ำของพี่เมื่อตอนเช้ารีดผ้าเสร็จรีบมาแต่งตัวกลัวเข้าห้องเรียนไม่ทัน”

ข้าพเจ้ารีบยกมือรับไหว้คิดในใจว่าหมอนี่ใจเย็นเหมือนผู้หญิง และแล้วก็เห็นเจ้าหนุ่มเดินเข้าห้องเบอร์  1 ดูรูปร่างแล้วอ้อนแอ้นผิวหมึกไว้ผมหยิก ที่น่าเตะคือนุ่งกระโจมอกสวมหมวกพลาสติกคลุมผมกันน้ำอีกด้วยนี่ซิ นึกในใจว่าโชคดีที่ไม่ได้อยู่ร่วมห้องกันไม่อย่างนั้นคงบ้าตาย...ดูเวลาแล้วรีบเดินไปที่เจ้ายานคู่ชีพสีแดงควบไปที่ร้านแดรี่ควีนวันนี้ต้องมีฟอร์มหน่อยขึ้นเป็นซีเนียร์แล้ว ขณะที่เดินเข้าไปได้ยินเสียงเรียกจากโต๊ะริมสุด ไม่ใช่ใครเพื่อนแก่ อรุณชัย สมพงษ์สหายเก่าที่เคยอยู่หอเดียวกันจึงเดินไปนั่งร่วมโต๊ะ เพื่อถามว่าจะเอาอะไรจึงบอกว่า....?

“นายกินอะไร เอามาเหมือนกันเร็วดี แต่มีเรื่องอยากถามอะไรหน่อย” เพื่อนสั่งอาหารเสร็จตอบว่า... “ถามมาได้มีอะไรที่ไอ้แก่ไม่รู่ในอาณาจักรแห่งนี้” จริงของเพื่อนเพราะเป็นผู้กว้างขวางรู้จักคนมาก

ใจกว้าง ทุกตารางนิ้วในเกษตรรู้หมดไม่รู้แต่ข้อสอบอาจารย์เท่านั้น ข้าพเจ้าจึงยิงคำถามทันทีว่า....?

“แก่ นายรู้จักเด็กปี 1ที่อยู่คณะอักษรศาสตร์บ้างไหม คำถามยังไม่จบพอดีกับมีเด็กใส่หมวกเขียวขี่จักรยานผ่านมา จำได้จึงรีบชี้ให้เจ้าแก่ดู... “ขี่จักรยานผ่านไปนั่นไงนายรู้จักหรือเปล่า”

เจ้าแก่มองปลาบเดียวร้องออกมาทันที....!!?

“ไอ้นารถนายมัวไปอยู่ที่ไหนมาวะนั่นมันไอ้อ็อดเด็กอักษรที่ถามเมื่อสักครู่นี้ไง ชัดเลยอาทิตย์ที่แล้วไปตบกับผู้หญิงที่คณะกูมันหึงผู้ชายดีแต่ว่าพวกพี่ ๆ พากันแยกทันและไม่มีเรื่องถึงองค์การไม่อย่างนั้นได้ลงสระขจีแน่”

เจ้าแก่บรรยายสรรพคุณเบ็ดเสร็จโดยไม่ต้องสอบถามอะไรเพิ่มเติม ข้าพเจ้าเมื่อรับถาดอาหารที่เด็กในร้านส่งให้เรียบร้อยแล้วก่อนจะลงมือได้พูดกับเพื่อนว่า... “ที่ถามเพราะว่าน้องคนนี้อยู่ตึกเดียวกันและเห็นหมอมีท่าทีประหลาดกว่าคนอื่น ชอบนุ่งกระโจมอกเดินผ่านห้องโน้นทีห้องนี้ที สงสัยว่าจะไม่เต็มกลับเป็นว่าเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน เดี่ยวนี้ทำไมมันเยอะนักว่ะ”เจ้าแก่บ่นว่าอย่าไปสนใจมันโลกทุกวันนี้เพี้ยนขึ้นทุกวันแล้วที่ตึกมีกี่คน เจ้าแก่ถามจึงได้บอกไปว่าเท่าที่มีเห็นคนเดียวเพราะข้าพเจ้าไม่เคยได้ไปสังสรรค์กับใครมากนัก เมื่อเจ้าแก่ชำระค่าอาหารต่างแยกย้ายกันเข้าห้องเรียน

....ฤดูกาลรับน้องตึกน้องหอมาถึงแล้ววันนี้มีกิจกรรมตอนเช้าช่วยกันทำความสะอาดตึกเป็นการบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ไปในตัวเสร็จแล้วเดินเข้าห้อง เจอเพื่อนเป้กำลังแปลี่ยนเสื้อผ้าจะอาบน้ำจึงรอจนเพื่อนอาบน้ำเสร็จจึงต่อคิวแล้วมานั่งที่เตียงถามเพื่อนว่า...?

“เฮ้ยเป้วันนี้กรรมการตึกเค้าจะมีกิจกรรมอะไรบ้างเล่าให้ฟังบ้างซิเมื่อวานไม่ได้เข้าประชุม” เพื่อนตอบว่า... “ที่ประชุมลงมติว่ากิจกรรมจะมีสองภาคตอนเช้าทำความสะอาดห้องและบริเวณตึกตอนกลางคืน จะมีการประชุมชี้แจงข้อบกพร่องของน้องใหม่ที่ได้ทำผิดกฎของตึกโดยจะมีการตรวจร่างกายประจำปีด้วย เพราะได้ข่าวว่าพวกปี 2 พาน้องใหม่ไปเปิดบริสุทธิ์ที่สำนักโคมเขียวแถวรังสิตและประตูน้ำพระอินทร์อาจนำหรือเป็นพาหะนำโรคร้ายมาติดต่อเพื่อนได้” ข้าพเจ้าชักสงสัยจึงถามไปว่า...!?

“มีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือวะกฎขององค์การนิสิตห้ามเด็ดขาดเชียวนะเพื่อนใครฝ่าฝืนอย่างน้อย 20 แรงถีบ” เพื่อนเป้ไขข้อข้องใจว่า...

“ไม่มีหรอกใครจะกล้าทำพวกปี 2 ใช้เป็นข้ออ้างเพื่อจับตรวจสุขภาพ” เพื่อนเป้รีบแก้ตัวแทนเกรงว่าข้าพเจ้าจะเข้าใจผิดแต่ข้อเท็จจริงก็อาจมีเล็ดรอดทำกันก็ได้ เพราะตรวจสอบยากข้าพเจ้าจึงถามเพื่อนต่อว่า...?

“แล้วซีเนียร์อย่างพวกเราต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง เพื่อนตอบว่า.... “ให้เป็นที่ปรึกษาและช่วยสังเกตการณ์ก็พอ” แล้วเราทั้งสองต่างแยกย้ายไปโรงอาหารที่ทางตึกเตรียมไว้ใส่ท้องเพราะเหนื่อยกันทุกคน...

....คืนนี้เป็นคืนเดือนหงายและท้องฟ้าปราศจากเมฆหมอกดวงดาวระยิบระยับดาระดาดเต็มท้องฟ้า ขณะนี้ชั้นสองของตึกคือดาดฟ้าเต็มไปด้วยบุรุษมีน้องใหม่ 40 คน นั่งกับพื้นซีเมนต์เป็นแถวเป็นแนวเรียบร้อยดี สักครู่หัวหน้าตึกออกมายืนด้านหน้าบรรดาน้องใหม่และมีพี่ปี 2-4 ต่างยืนล้อมไม่หนาตาเท่าใดนัก มีเสียงตักเตือนกันตามธรรมเนียมปฏิบัติของการรับน้องที่ทุกคนชินเสียแล้ว พอได้เวลาสองทุ่มตรงหัวหน้าตึกได้เดินมายืนที่โพเดียมกล่าวขึ้นว่า....??

“สวัสดีน้องใหม่ทุกคนตึก 13 มีความยินดีที่ได้สมาชิกมาเพิ่มร่วมชายคาเดียวกัน เราเคยอยู่กันมาช้านานบ้านย่อมมีกฎของบ้าน เมืองย่อมมีกฎของเมืองจึงจะสงบสุข ดังนั้น ตึก 13 ของเราก็เช่นกันและได้แจ้งกฎระเบียบให้ทราบตั้งแต่ต้นแล้วมาบัดนี้เป็นวันที่เราประมวลติดตามผลตรวจสอบความเรียบร้อยภายหลังจากอยู่กันมาได้ 3 เดือนแล้ว เพื่อให้ทราบสุขอนามัยของพวกเราในขั้นแรกขอให้พวกเราทุกคนให้ความร่วมมือในการตรวจโรคประจำปี ซึ่งเราได้จัดหาคุณหมอมาบริการจำนวน 2 ท่าน ได้แบ่งห้องตรวจเป็น 2 ห้อง ให้น้องใหม่เข้าแถวหน้าห้องห้องละ 20 คน เมื่อทำการตรวจเสร็จแล้วให้กลับมานั่งยังที่เดิมแล้วทางตึกจะแจ้งผลการตรวจให้ทุกคนทราบโดยพร้อมเพียงกัน ทุกคนปฏิบัติตาม....”

....แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปตามที่หัวหน้าตึกได้สั่งการ ข้าพเจ้านั้นอยากรู้ว่าบรรดาปี 2 จะมีเกมส์อะไรซ่อนเร้นกันบ้างในฐานะผู้สังเกตการณ์จึงเข้าไปยืนหลังม่านของห้องตรวจคนไข้ แหวกม่านดูเห็นมีชายฉกรรจ์ใส่เสื้อคลุมยาวสีขาวเป็นเสื้อกาว์มีหูฟังที่คล้องไว้ที่คอคงจะเป็นหมอที่เชิญมาและยังมีหนุ่มใสเสื้อสีขาวแขนสั้นจีบเอวคลุมทับเสื้อชั้นในคาดว่าน่าจะเป็นบุรุษพยาบาลเป็นเหมือนลูกมือหมอที่โต๊ะมีเครื่องมือแพทย์ เครื่องวัดความดัน ปรอท และยาสามัญประจำบ้าน เช่น ยาแดง ทิงเจอร์ และแล้วคนไข้คนที่หนึ่งเดินเข้ามา (ตอนต่อไปขอเซ็นเซอร์ภาพบรรยายเป็นเสียงก็พอ) หมอสั่งให้วัดความดัน ใช้เครื่องฟังหัวใจจับชีพจรส่องตาอ้าปากกดลิ้นส่องคอ แล้วมาถึงตอนที่ฟังแล้วต้องสะดุ้ง หมอสั่งว่า.....??

“ถอดกางเกงรูดไปไว้ที่เท้าไหนขอตรวจช้างน้อยหน่อยซิ

สักครู่ได้ยินเสียงหมอถามต่อไปว่า....

“ไปเที่ยวกับเค้ามารึเปล่า ตรวจแล้วอาการปกติดี แต่ป้องกันไว้” หมอสั่งบุรุษพยาบาลเอาไฟฉายมาแล้วบอกให้บุรุษพยาบาลทำความสะอาดงวงช้างน้อยโดยให้เปิดหมวกใช้ยาแดงป้ายละเลงจนทั่วแล้วสั่งให้ออกไปได้ เรียกคนใหม่เข้ามา ข้าพเจ้าปวดปัสสาวะจึงรีบไปเข้าห้องสุขา พอถอดกางเกงนึกไปอดใจหายแทนน้องไม่ได้ จะว่าพวกพี่ปีสองทำพิเรนทร์ก็ไม่ใช่เพราะเขาตรวจสุขภาพกันจริง หมอก็หมอจริงและมีวัตถุประสงค์ในการตรวจชัดเจนว่าต้องการกำจัดโรคติดต่อประเภทกามโรคให้หมดไปจากตึกพัก เพราะถ้ามีใครเป็นซิฟิลิสถึงตายเลยทีเดียว...กำลังจะเดินออกเลิกดูเสียทีพอดีได้ยินเสียงแจ้วๆ ดังออกมาจากห้องด้านในรีบหมุนตัวกลับไปแหวกม่านดูไม่ใช่ใครไอ้อ็อดนั่นเองกำลังร้องโอดโอยต่อรองกับหมอว่า... “จะให้อ็อดทำอะไรได้ทุกอย่างขอเพียงอย่างเดียวอย่าให้อ็อดถอดกางเกง” ทั้งหมอทั้งบุรุษพยาบาลเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่ยอมจึงปล่อยตัวให้กลับไปเพราะเป็นคนสุดท้ายพอดี ทุกคนกลับมานั่งยังตำแหน่งเดิมของตน รอสักครึ่งชั่วโมงหัวหน้าตึกปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดแล้วไปยืนที่โพเดียมประกาศว่า... “ตึก 13 ขอแจ้งให้พวกเราทราบว่าการตรวจสุขภาพประจำปีทุกคนสุขภาพแข็งแรงดีไม่มีโรคติดต่อต้องห้าม แต่ยังวางใจไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็น เนื่องจากมีน้องใหม่ไม่ยอมให้ตรวจอยู่ 1 คน” พอสิ้นเสียงประกาศเท่านั้นก็มีเสียงบริภาษจากรุ่นพี่รอบๆข้างดังขึ้น.... “ใครวะแน่มาจากไหน ?เด็กเส้นหรือเปล่า”

“ใหญ่จากไหนไม่สำคัญอยู่ที่นี่มีสิทธิเท่ากับศูนย์”

“อย่างนี้ต้องเอาไปประหารเชื้อมันจะได้หมดไป”

หัวหน้าตึกประกาศขึ้นว่า.... “คณะกรรมการตึกมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าเป็นความผิดมหันต์สมควรลงโทษประหารโดยการแขวนคอ” พอสิ้นเสียงประกาศทุกคนร้องฮือฮากันดังสนั่น แล้วก็เงียบหายไปนานเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง แม้เข็มสักเล่มตกคงได้ยิน ข้าพเจ้าฟังแล้วเห็นว่าพวกปี 2 จะเล่นแรงไปหน่อย หรืออาจจะเป็นละครตบตาให้ทุกคนเกรงกลัวต่อกฎจะได้ไม่กล้าขัดคำสั่งอีกต่อไป จึงคิดว่าดูไปก่อนดีกว่า....!!?

....การประกาศตัดสินลงโทษเสร็จสิ้นลงทุกคนพากันเดินจากดาดฟ้ามายังลานประหารซึ่งเป็นพื้นที่ของบันไดขึ้นลงของตัวตึกชั้นที่ 1 ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 16 ตารางเมตร บางกลุ่มก็เกาะราวบันไดชั้น 2 บางพวกเกาะราวบันไดชั้น 1 เบียดเสียดกัน ณ ลานประหาร ประกอบด้วยเชือกป่านที่ไว้ใช้แขวนคอเหมือนในหนังคาวบอยสมัยหินห้อยลงมาจากดาดฟ้า ด้านพื้นมีเก้าอี้ตั้งไว้ตัวหนึ่งสำหรับผู้ถูกประหารยืน และมีชายฉกรรจ์ 4 คน แต่งกายเหมือนนักรบโบราณใส่เสื้อกั๊กลงยันต์สีแดงเปลือยอกพอให้เห็นมัดกล้ามและแผงอกที่เป็นก้อนปราศจากไขมัน และที่หน้าท้องมีมัดกล้ามเป็นลูก ๆ ที่เรียกว่า “ซิกแพ็ก” ทาน้ำมันทั่วตัวจึงสะท้องแสงโคมไฟที่ทำขึ้นจากกระป๋องนมใส่น้ำมันก๊าด...บรรยากาศสลึมสลัวน่าเกรงขาม ทั้ง 4นาย ยืนคุมตัวนักโทษประหารมาแล้วและให้ขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ เสร็จดึงเชือกที่ใช้ประหารมาคล้องคอรูดดึงให้เชือกรัดคอแต่พองามไว้ก่อน หัวหน้าตึกยืนอยู่กับชายอีกคนหนึ่งที่เป็นเพชรฆาตคอยถีบเก้าอี้ให้ล้มเมื่อคำสั่งประหารได้ประกาศขึ้นเมื่อใด สายตานับร้อยคู่ต่างมองดูที่จุดเดียว เพชฌฆาตนำดอกไม้ธูปเทียนมาให้ผู้ถูกประหารถือแล้วให้พนมมือสั่งว่า....!!

“พนมมือแล้วว่าตาม นโมตัสสะ ภควะโต อาระหะโต สัมมาสัมพุทธตัสสะ” โดยท่องจนครบ 3 จบคราวนี้เรามาดูเจ้าอ็อดคนที่ถูกประหารบ้าง ขณะนี้มีเหงื่อผุดเต็มใบหน้าที่ยืนหลับตามือที่ถือธูปเทียนเริ่มสั่น หัวหน้าตึกบอกว่าต่อไปจะนับ 1-3 แล้วเพชรฆาตถีบโต๊ะประหารได้ และให้การ์ดทั้งสี่คอยเก็บศพด้วย...ข้าพเจ้ายืนดูแล้วงงอยู่เหมือนกันว่าทำไมจึงเล่นแรงขนาดนี้ แต่เท่าที่รู้มาว่าได้สอบถามสุขภาพของเจ้าอ็อดแล้วไม่มีโรคประจำตัวอะไร คงจะเป็นการขู่พอสั่งให้เพชฌฆาตถีบโต๊ะแล้วคงให้การ์ดทั้งสี่รีบวิ่งมารับไม่ให้หล่นลงพื้นหรือห้องโต่งเต่ง คงวางมาตรการป้องกันไว้อย่างดีแล้ว...

.....และแล้วนาทีแห่งความระทึกใจก็มาถึง หัวหน้าตึกร้อง...หนึ่ง...ข้าพเจ้าเห็นเจ้าอ็อดหลับตามีน้ำตาแห่งความกลัวไหลรินเล็กน้อยทุกคนเงียบกริบ เสียงที่ดังต่อไป...สอง...ด้านนอกอาคารเริ่มมีลมพัดแรงขึ้นอากาศเริ่มแปรปรวนบนท้องฟ้าปรากฏแสงแวบๆวับๆ พาดเป็นทางยาวพอสิ้นเสียงแห่งองค์วิชชุอสุนีบาตก็ฟาดเปรี้ยงลงมาใจกลางมหานครดังเปรี้ยงไปทั่วท้องทุ่งบางเขน โคมไฟของบรรดาที่ถูกจัดขึ้นมาบางดวงก็ดับ แต่สิ่งที่ปรากฏข้างหน้านักโทษประหารบัดนี้ยืนโอนเอนแล้ว และแล้วก็ถึงจุดอวสานล้มทั้งยืน...บรรดาการ์ดรีบถลัมเข้าไปรับร่างที่เอนนั้นได้ทัน พร้อมทั้งได้ยินเสียงกรีดร้องของการ์ดและไทยมุงต่างร้องประสานมีทั้งเสียง...วี๊ด...ว๊าย...วี๊ด...ว๊ายกึกก้องไปหมด...??

....จบเสียทีละครล่มกลางคัน...แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังค้างคาในใจข้าพเจ้าอยู่ว่าเจ้าอ็อดมันล้มทั้งยืนแล้วเชือกทำไมไม่รัดคอมันกลับดูเหมือนเชือกจะยึดได้ไม่ใช่ขาด มารู้ภายหลังว่าปลายเชือกด้านบนได้ผูกเชือกไว้กับยางในรถยนต์ที่ตัดเป็นเส้นเล็กๆ ผูกต่อไว้ที่ปลายเชือกยาว 1 เมตร และอีกเรื่องคือหมอที่ไปเชิญมาไม่ใช่หมอจริงแต่เป็น หมอหมา ได้ขอร้องพี่สัตวแพทย์ปี 6 มาช่วยเพราะพี่มีเครื่องแต่งตัวและเครื่องมือพร้อม...โง่ไปนานทีเดียวนายทศเอ๊ย....????

 

 

 


Last updated: 2014-12-27 10:27:45


@ ตึก 13 นะยะ
 


 
     
เชิญท่านเป็นบุคคลแรกที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความ ตึก 13 นะยะ
 
     
     
   
     
Untitled Document
 



LFG
www.lookforest.com|บทความ|โปรแกรมคาร์บอนต้นไม้|ฐานข้อมูลชีวภาพ|เครือข่ายฟาร์มป่าไม้|ติดต่อบรรณาธิการ
Powered by: LOOK FOREST GROUP
23/1 ซอยรัชดาภิเษก 64 แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กทม.
Clicks: 
1,250

Your IP-Address: 3.147.68.201/ Users: 
1,249