��������������� ออกญาเสนากลาโหมได้ถวายรายงานต่อทันทีว่า� “พระองค์อย่าทรงห่วงใยความมั่นคงภายนอกเลย� ข้าพระพุทธเจ้าได้ให้สายสืบไปหาข่าวแล้วขณะนี้� นครไทยสุริยันยังสงบเงียบอยู่��� หลังจากเรายกพลขึ้นไปตีจนแตกกระเจิงมาครานั้นแล้ว� กำลังทำนุบำรุงบ้านเมืองอยู่ �คงอีกนานที่จะหาญมาต่อกรกับมหานครของเรา”
��������������� “เอาล่ะ� เอาล่ะ� เมื่อนครสงบก็ดีแล้ว� ข้าจะปูนบำเหน็จให้เจ้าภายหลัง� ต่อไปเมื่อหมดเรื่องความมั่นคงแล้วมาดูสุขภาพของประชาชนบ้าง� ว่าอย่างไรเสนาบดีสาธารณะสุข”
��������������� “ถวายบังคมพระเจ้าข้า� ตอนนี้พลานามัยของราษฎรชายนครของเรา� ติดโรคระบาดกันงอมแงมเลยพระพุทธเจ้าข้า”
��������������� “ตายละซิ� มีโรคระบาดเข้ามาในมหานครเราทำไมไม่รีบป่าวประกาศให้ทั่วเมืองละ� มัวทำอะไรอยู่”
��������������� “มันเป็นโรคระบาดเฉพาะคน� พระพุทธเจ้าข้า”
��������������� “มันเป็นอย่างไรละไอ้เจ้าโรคที่ท่านเสนาบดีว่ามานี้จงกล่าวแจ้งแถลงไข� ให้ข้าเข้าใจโดยเร็ว”
��������������� เมื่อถูกตำหนิเสนาบดีกระสรวงสาธารณะสุข� ซึ่งเป็นหมอหลวงเริ่มทูลด้วยเสียงอันสั่นเครือ� เนื่องจากเกรงกลัวจากความผิด� รีบกราบบังคมทูลโดยฉับพลันทันใด.........!!
��������������� “สาเหตุมันมาจากประชาราษฏร์ของเราไปติดต่อการค้าที่เมืองรังสิตรามหานคร� ซึ่งเมืองนี้เป็นที่เลื่องลือนักว่ามีสำนักโคมเขียวเปิดกิจการมากมาย� เมื่อค้าขายได้เงินก็ชอบไปเที่ยวนางคณิกา� เลยนำเชื้อโรคติดตัวมาด้วยพระพุทธเจ้าข้า� บางคนถึงกับนอนซมพิษไข้� ฉี่เป็นเลือดก็มีพระพุทธเจ้าข้า� แล้วโรงหมอหลวงของเมืองเรา� ก็หามียารักษาไม่� เพราะเป็นโรคใหม่� จะมีที่รักษาก็แต่โรงหมอบางเขน� หน้าอารามหลวงพระศรีมหาธาตุเท่านั้น� แห่งอื่นอยู่หัวเมืองไกลมากพระพุทธเจ้าข้า”
��������������� “ท่านเสนาบดีเคยสังเกตบ้างหรือไม่ว่าประชากรของเราไปเข้าโรงหมอมากน้อยเพียงใด”
��������������� “ข้าพระพุทธเจ้าเคยตามไปสืบดูมาแล้ว� วันนั้นเป็นวันต้นสัปดาห์� มีประชากรชายของเราพวกหนุ่มกลัดมันไปรักษาที่นั่น� โรงรักษาก็ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก� เป็นอาคารเรือนไทยใต้ถุนสูงเพียงครึ่งวา� มีทั้งสิ้นสี่ห้อง� โดยแบ่งด้านตะวันออก� 2� ห้อง� กว้างประมาณสองคูณสามวา� ด้านตะวันตกมีสองห้องขนาดเดียวกัน� เว้นช่องกลางสำหรับเดินประมาณ� 1� วา� มีโต๊ะสำหรับพยาบาลนั่งคอยรับบัตรคิว� โดยมีแป้นเหล็กแหลมไว้ให้คนมาก่อนเดินเข้าไปเสียบบัตร� ยาวออกไปทางด้านใต้มีระเบียงสำหรับคนไข้นั่งรอ� เมื่อเสียบบัตรแล้วนับได้ประมาณ� 25� คนพอดี� พอได้เพลารักษา� หมอหลวงจะให้เข้าไปพบที่ห้องวินิจฉัยโรคซึ่งอยู่ด้านตะวันตกซ้าย� คนป่วยของเราเดินกระย่องกระแย่งเข้าไปที่ห้องหมอ� ไม่ถึงยี่สิบนาทีก็ออกมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก� เสร็จแล้วก็เดินเข้าห้องปฏิบัติการด้านทิศเหนือ� มาทราบภายหลังว่าเป็นห้องฉีดยาพระพุทธเจ้าข้า”
��������������� “ทำไมต้องฉีดยาด้วยละ� มันเป็นวิธีรักษาของหมอฝรั่งมิใช่รึ?”
��������������� “ยาต้มพื้นบ้านเอาไม่อยู่พระพุทธเจ้าข้า� ยาฝรั่งยังต้องใช้อย่างแรงไอ้ที่เขาเรียกว่า� กาน่ามัยชินพระพุทธเจ้าข้า”
��������������� “แล้วมันเป็นโรคอะไรละหมอหลวง”
��������������� “มันเป็นโรคกะหล่ำปลีขึ้นตามตัวพระพุทะเจ้าข้า”
��������������� พอสิ้นเสียงเสนาบดีทราบทูล� พวกเราที่ตั้งใจฟัง� ต่างโห่ร้องกันอย่างสนุกสนานและสะใจ� เป็นที่ครึกครื้นกันอย่างทั่วหน้า.............?
��������������� “เฮ้ยเมธ� นายว่าใครว่ะ”� เจ้าสุชิน� เพื่อนร่วมห้องรีบกระทู้ถามทันทีในความอยากรู้อยากเห็นตามสันดานมนุษย์..............
��������������� “เห็นเขาว่าเป็นรุ่นพี่ปี� 4� ว่ะ”
��������������� “แล้วแกเป็นหนักขนาดไหนล่ะ?”
��������������� “ออกดอกเต็มตัวเลยว่ะ�� แต่หมอบอกว่ายังไม่เข้ากระดูกโชคดีหน่อย”
��������������� เจ้าแก่� อรุณชัยผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้เป็นผู้ให้คำตอบ� เพราะเพื่อนเชี่ยวชาญมากมีประสบการณ์สูง� ขณะที่พวกปากหอบปากปูอย่างเรากำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่นั้น� พลันต้องเงี่ยหูฟังต่อไป..................
��������������� “มันเป็นอย่างไรต่อไปละเสนาบดีเล่าติด ๆ ขัด ๆ ข้าอยากรู้ใจมันร้อนมีโรคอย่างนี้ด้วยรึ”
��������������� “พระพุทธเจ้าข้า� ข้าพระองค์ขอพระบรมราชานุญาตทูลต่อไปพระเจ้าข้า� ผู้ป่วยรายที่ว่าได้เข้าไปในห้องฉีดยา� ซึ่งหมอหลวงบอกว่าต้องหลายเข็มหน่อยอาทิตย์ละเข็ม� พอคนไข้เข้าไปได้สักครู่เห็นชายหนุ่มในชุดเสื้อสีขาวตามเข้าไป� 2� คน� ล่ำสันแข็งแรงทั้งคู่� และแล้วหมอก็ถือเข็มฉีดยาที่บรรจุด้วยน้ำยาสีขาวเต็มหลอด� เดินเข้าไปในห้อง� ต้องขอกราบทูลว่าประตูห้องเป็นบานสปริงเปิดเข้าออกได้ด้วยบานพับสปริงของฝรั่งสมัยใหม่”
��������������� นิสิตและผมที่อยู่รอบนอกต่างเงี่ยหูฟังใจเต้นตุ๊บตั๊บไปตาม ๆ กัน� เพราะไม่รู้ฤทธิ์ยาชนิดใหม่ว่าจะมีผลข้างเคียงอย่างไรบ้าง� เพราะเคยได้กิติศัพท์ว่าเป็นยาแรง� ถ้าเอาไม่อยู่โรคผู้หญิง� (วีดี)� ชนิดนี้ถึงตายเอาได้� ไม่ทันที่ภวังค์ของผมจะกลับคืนมา� ท่านเสนาบดีทูลต่อด้วยความตื่นเต้น� “พอหมอเดินเข้าห้องได้ไม่เกินสองอึดใจ� ได้ยินเสียงโครมครามดังมากเลยพระเจ้าข้า� แล้วก็เห็นบุรุษพยาบาลนายหนึ่งกระเด็นออกมานอกห้องด้วยความแรง� พวกเราทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุต่างลุกขึ้นยืนพร้อมกันโดยมิต้องนัดหมาย� และทันใดนั้นหมอก็เดินอย่างเร็วออกจาห้องมาบอกพวกเราว่า� อย่าตกใจคนไข้แพ้ยาเลยถีบบุรุษพยาบาลกระเด็นออกมา� คนที่นั่งอยู่ลำดับที่� 3� มองไปทางซ้ายทีขวาทีเห็นพวกเราเหงื่ออกเต็มหน้าเลยพระเจ้าข้า� ข้าพระพุทธเจ้าก็ตกใจไม่แพ้พวกเรา� ได้แต่นึกในใจว่ายาแรงขนาดนี้จะไหวหรึ?”
��������������� “แล้วมันเป็นอย่างไรละประชาชนของข้าถึงกับสิ้นลมหรือเปล่า”
��������������� “มิเป็นไรพระเจ้าข้า� หมอบอกลืมไปว่า� ยาพวกนี้นำเข้ามาใหม่บางคนมีโอกาสแพ้ยาได้� แต่มีวิธีแก้คือตอนปักเข็มลงไปให้หมุนเข็มไปครึ่งวงกลมก่อนแล้วค่อยปล่อยยาพระพุทธเจ้าข้า”
��������������� “เฮ้ย?� โล่งอกไปทีนึกว่าเสร็จแล้ว� จบเท่านี้ใช่ไหม� ฟังแล้วเครียดเหลือเกิน� เหนื่อยใจ”
��������������� “ยังพระพุทธเจ้าข้า� ต่อไปจะสนุกยิ่งกว่านี้อีก� ขอพระองค์ทรงรับฟังต่อ พระพุทธเจ้าข้า”
��������������� “ไม่ฟงไม่ฟังมันแล้ว� เสียวบั้นท้ายว่ะ� ยาอะไรวะถีบคนได้”
��������������� “ขอพระองค์รับฟังต่อเถิดไม่รกพระโสต� พระกรรณ� พระองค์แน่� ข้าพระพุทธเจ้าขอเอาคอเป็นประกัน”
��������������� “เอ๊า.....ฟังก็ฟังวันนี้ว่าจะมาสนุกสักหน่อยเครียดจนได้”
��������������� “เมื่อสิ้นสุดเสียงราชานุญาตแล้ว� พวกเราที่กำลังนั่งฟังรอด้วยใจจดใจจ่อถอนหายใจเฮือกเพราะต่างคนต่างก็ต้องฟังตอนต่อไปเช่นเดียวกันทุกคน� ว่ามันจะจบลงอย่างไร� (แต่ในตอนหลังมารู้ว่าเป็นมุกของรุ่นพี่เขาเพื่อให้พวกเรามีสมาธิในการฟัง)
��������������� “เรื่องมันไม่มีอะไรมากหรอกพระเจ้าข้า� เพียงแต่คนป่วยที่ไปนั่งรอ� 25� คน� ต่างยืนขึ้นเรียงแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งเดินไปถอดบัตรตรวจจนหมดเหลือแต่ความว่างเปล่าก็เท่านั้นพระเจ้าข้า”
�
��������������� “ฮา ! ฮา !ฮา ! มันกลัวกันถึงเพียงนั้นเลยหรือวะ� สมน้ำหน้า� ต่อไปมันจะไม่ได้ไปเที่ยวนางคณิกาอีก”
��������������� พวกเราทุกคนที่นั่งเงี่ยงหูฟังปรากฏว่า� ฮืออาพร้อมเพรียงกัน� บางคนเก็บอารมณ์ไม่อยู่ถึงกับเป่าปากเป็นเสียงต่าง ๆ อื้ออึงไปหมดสร้างความสนุกสนานยิ่งขึ้นแม้แต่ปวดปัสสาวะอยากที่จะไปยิงกระต่ายยังต้องอั้นเอาไว้กลัวออกไปแล้ว� คนอื่นจะมาแย่งที่� หลังจากเสียงพึมพำค่อยสงบลง� จนนิ่งเหมือนทะเลเริ่มรายเรียบความเงียบเริ่มมาเยือน� ได้ยินแม้กระทั่งเสียงแมลงกลางคืนร้องและกรีดปีกของตนเอง.....บัดนั้นเสียงลำโพงก็ดังขึ้นอีก� ด้วยสุรเสียงที่ดังอย่างมีอำนาจ..� ทรงปุจฉาต่อไปอีกทำให้พวกเราตั้งใจฟังอย่างสงบโดยมิได้นัดหมาย
��������������� “เสนาบดีกระทรวงวัฒนธรรมว่ามา� ในมหานครมีใครหรือกลุ่มใดทำผิดธรรมเนียมประเพณี� ผิดผีผิดสางบ้างรึ ?”
��������������� “ขอถวายบังคมทูล� ข้าพระพุทธเจ้า� เพลาก่อนฝันร้ายเห็นอุกาฟ้าเหลืองเต็มท้องฟ้าเหนือมหานครของเราพระเจ้าข้า� มันน่ากลัวเหลือเกิน”
��������������� “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการผิดจารีตประเพณี� ไม่เห็นจะไปด้วยกันได้เลยเจ้านี้ชักเลอะเลือนแล้ว”
��������������� “มิได้พระเจ้าข้า� มันทำให้ไม่สบายใจเกรงว่าจะเกิดเหตุไม่ดีในมหานครของเรา� ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้ปรึกษาหารือกับท่านโหราจารย์� ท่านหยิบกระดานชนวนมาขีด ๆ เขียนดวงเมืองแล้ว� ท่านก็ทำนายทันทีเลยพระเจ้าข้า� ว่านครของเราตอนนี้ดวงเมืองตก� น้ำจะท่วมฟ้า� ปลาจะกินดาว� ค้างคาวจะกินคนพระพุทธเจ้าข้า� มันน่ากลัวมาก”
��������������� “ท่านเสนาบดีท่านไปเช็กสมองบ้างหรือเปล่า� เพ้อเจ้อไปหน่อยแล้ว”
��������������� “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่พระพุทธเจ้าข้า”
��������������� “แล้วมันอาเพศอะไรล่ะ� มีทางแก้หรือไม่เจ้ารีบรายงานข้าร้อนใจ� ทวยราษฎร์ของข้าอยู่เป็นสุขมานาน� ข้าปกครองแผ่นดินด้วยทศพิศราชธรรมเสมอมา� มันจะเกิดได้อย่างไร ?”
��������������� “ข้าพระพุทธเจ้าได้เฝ้าสังเกตดูพฤติกรรมของทวยราษฎร์� พบว่ามีสิ่งที่กระทำผิดจารีตประเพณีเกิดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อาจจะเป็นสาเหตุนี้ก็ได้พระเจ้าข้า”
��������������� “แล้วมันอะไรละ� รีบบอกมาข้าใจร้อน� ช้าเดียวเอาไปตัดหัวเลยเจ้านี่”
��������������� “มันเกิดอาเพศ� วัวแก่ชอบกินหญ้าอ่อนพระเจ้าข้า ?”
��������������� “มันก็เป็นธรรมดาและธรรมชาติอยู่แล้วนี้นา� วัวแก่มันก็ต้องชอบกินหญ้าอ่อนเพราะมันเคี้ยวง่าย� ข้ายังชอบเลย� เจ้านี่คิดประหลาด� ง่วงนอนแล้ว”
��������������� “อย่าพึ่งรีบเข้าบรรทมเลยพระเจ้าข้า� โปรดระงับใจรับฟังจนครบถ้วนขบวนความก่อนเกิด� พระเจ้าข้า”
��������������� “มันเป็นอย่างนี้พระเจ้าข้า� ไอ้ที่ว่าวัวแก่ชอบกินหญ้าอ่อน� มันเป็นวัวตัวเมียพระเจ้าข้า ?”
��������������� ...........พอสิ้นกระแสเสียงของเสนาบดี� ได้ยินเสียงกรี๊ดโห่� ฮา� ของเหล่าบรรดานิสิตไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหน� เพราะอุตส่าห์ฟังกันอย่างตั้งอกตั้งใจ� เจ้ามหานครได้แต่ส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นยืน� ทันทีไฟทั้งหมดก็ดับลง� ประมาณ� 2-3� นาที� แล้วก็สว่างขึ้นภาพที่ปรากฏตรงหน้าเป็นฟลอร์ที่ว่างเปล่าพร้อมที่จะให้พวกเราได้สนุกกับการเต้นรำโต้รุ่งกลางทุ่งบางเขนต่อไป� ประเพณีสังสรรค์พวกเราให้รักกัน� สามัคคีกัน� มหาวิทยาลัยของเรามีความแข็งแกร่งเป็นที่น่าอิจฉาของเหล่าสถานศึกษาทั้งปวง� เปรียบประดุจ........
........นาคามีพิษเพียงสุริโย ���เลื้อยบ่ทำเดโชแช่มช้า...........

Last updated: 2014-11-22 10:18:37