จะทำอะไรให้สำเร็จ ต้องคิดว่าจะสำเร็จก่อน
 
     
 
เกษตรานคร (3)
นิสิตและผมที่อยู่รอบนอกต่างเงี่ยหูฟังใจเต้นตุ๊บตั๊บไปตาม ๆ กัน เพราะไม่รู้ฤทธิ์ยาชนิดใหม่ว่าจะมีผลข้างเคียงอย่างไรบ้าง
 

��������������� ออกญาเสนากลาโหมได้ถวายรายงานต่อทันทีว่า“พระองค์อย่าทรงห่วงใยความมั่นคงภายนอกเลยข้าพระพุทธเจ้าได้ให้สายสืบไปหาข่าวแล้วขณะนี้นครไทยสุริยันยังสงบเงียบอยู่��� หลังจากเรายกพลขึ้นไปตีจนแตกกระเจิงมาครานั้นแล้วกำลังทำนุบำรุงบ้านเมืองอยู่ คงอีกนานที่จะหาญมาต่อกรกับมหานครของเรา”

��������������� “เอาล่ะเอาล่ะเมื่อนครสงบก็ดีแล้วข้าจะปูนบำเหน็จให้เจ้าภายหลังต่อไปเมื่อหมดเรื่องความมั่นคงแล้วมาดูสุขภาพของประชาชนบ้างว่าอย่างไรเสนาบดีสาธารณะสุข”

��������������� “ถวายบังคมพระเจ้าข้าตอนนี้พลานามัยของราษฎรชายนครของเราติดโรคระบาดกันงอมแงมเลยพระพุทธเจ้าข้า”

��������������� “ตายละซิมีโรคระบาดเข้ามาในมหานครเราทำไมไม่รีบป่าวประกาศให้ทั่วเมืองละมัวทำอะไรอยู่”

��������������� “มันเป็นโรคระบาดเฉพาะคนพระพุทธเจ้าข้า”

��������������� “มันเป็นอย่างไรละไอ้เจ้าโรคที่ท่านเสนาบดีว่ามานี้จงกล่าวแจ้งแถลงไขให้ข้าเข้าใจโดยเร็ว”

��������������� เมื่อถูกตำหนิเสนาบดีกระสรวงสาธารณะสุขซึ่งเป็นหมอหลวงเริ่มทูลด้วยเสียงอันสั่นเครือเนื่องจากเกรงกลัวจากความผิดรีบกราบบังคมทูลโดยฉับพลันทันใด.........!!

��������������� “สาเหตุมันมาจากประชาราษฏร์ของเราไปติดต่อการค้าที่เมืองรังสิตรามหานครซึ่งเมืองนี้เป็นที่เลื่องลือนักว่ามีสำนักโคมเขียวเปิดกิจการมากมายเมื่อค้าขายได้เงินก็ชอบไปเที่ยวนางคณิกาเลยนำเชื้อโรคติดตัวมาด้วยพระพุทธเจ้าข้าบางคนถึงกับนอนซมพิษไข้ฉี่เป็นเลือดก็มีพระพุทธเจ้าข้าแล้วโรงหมอหลวงของเมืองเราก็หามียารักษาไม่เพราะเป็นโรคใหม่จะมีที่รักษาก็แต่โรงหมอบางเขนหน้าอารามหลวงพระศรีมหาธาตุเท่านั้นแห่งอื่นอยู่หัวเมืองไกลมากพระพุทธเจ้าข้า”

��������������� “ท่านเสนาบดีเคยสังเกตบ้างหรือไม่ว่าประชากรของเราไปเข้าโรงหมอมากน้อยเพียงใด”

��������������� “ข้าพระพุทธเจ้าเคยตามไปสืบดูมาแล้ววันนั้นเป็นวันต้นสัปดาห์มีประชากรชายของเราพวกหนุ่มกลัดมันไปรักษาที่นั่นโรงรักษาก็ไม่ได้ใหญ่โตมากนักเป็นอาคารเรือนไทยใต้ถุนสูงเพียงครึ่งวามีทั้งสิ้นสี่ห้องโดยแบ่งด้านตะวันออก2ห้องกว้างประมาณสองคูณสามวาด้านตะวันตกมีสองห้องขนาดเดียวกันเว้นช่องกลางสำหรับเดินประมาณ1วามีโต๊ะสำหรับพยาบาลนั่งคอยรับบัตรคิวโดยมีแป้นเหล็กแหลมไว้ให้คนมาก่อนเดินเข้าไปเสียบบัตรยาวออกไปทางด้านใต้มีระเบียงสำหรับคนไข้นั่งรอเมื่อเสียบบัตรแล้วนับได้ประมาณ25คนพอดีพอได้เพลารักษาหมอหลวงจะให้เข้าไปพบที่ห้องวินิจฉัยโรคซึ่งอยู่ด้านตะวันตกซ้ายคนป่วยของเราเดินกระย่องกระแย่งเข้าไปที่ห้องหมอไม่ถึงยี่สิบนาทีก็ออกมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะดีนักเสร็จแล้วก็เดินเข้าห้องปฏิบัติการด้านทิศเหนือมาทราบภายหลังว่าเป็นห้องฉีดยาพระพุทธเจ้าข้า”

��������������� “ทำไมต้องฉีดยาด้วยละมันเป็นวิธีรักษาของหมอฝรั่งมิใช่รึ?”

��������������� “ยาต้มพื้นบ้านเอาไม่อยู่พระพุทธเจ้าข้ายาฝรั่งยังต้องใช้อย่างแรงไอ้ที่เขาเรียกว่ากาน่ามัยชินพระพุทธเจ้าข้า”

��������������� “แล้วมันเป็นโรคอะไรละหมอหลวง”

��������������� “มันเป็นโรคกะหล่ำปลีขึ้นตามตัวพระพุทะเจ้าข้า”

��������������� พอสิ้นเสียงเสนาบดีทราบทูลพวกเราที่ตั้งใจฟังต่างโห่ร้องกันอย่างสนุกสนานและสะใจเป็นที่ครึกครื้นกันอย่างทั่วหน้า.............?

��������������� “เฮ้ยเมธนายว่าใครว่ะ”เจ้าสุชินเพื่อนร่วมห้องรีบกระทู้ถามทันทีในความอยากรู้อยากเห็นตามสันดานมนุษย์..............

��������������� “เห็นเขาว่าเป็นรุ่นพี่ปี4ว่ะ”

��������������� “แล้วแกเป็นหนักขนาดไหนล่ะ?”

��������������� “ออกดอกเต็มตัวเลยว่ะ�� แต่หมอบอกว่ายังไม่เข้ากระดูกโชคดีหน่อย”

��������������� เจ้าแก่อรุณชัยผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้เป็นผู้ให้คำตอบเพราะเพื่อนเชี่ยวชาญมากมีประสบการณ์สูงขณะที่พวกปากหอบปากปูอย่างเรากำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่นั้นพลันต้องเงี่ยหูฟังต่อไป..................

��������������� “มันเป็นอย่างไรต่อไปละเสนาบดีเล่าติด ๆ ขัด ๆ ข้าอยากรู้ใจมันร้อนมีโรคอย่างนี้ด้วยรึ”

��������������� “พระพุทธเจ้าข้าข้าพระองค์ขอพระบรมราชานุญาตทูลต่อไปพระเจ้าข้าผู้ป่วยรายที่ว่าได้เข้าไปในห้องฉีดยาซึ่งหมอหลวงบอกว่าต้องหลายเข็มหน่อยอาทิตย์ละเข็มพอคนไข้เข้าไปได้สักครู่เห็นชายหนุ่มในชุดเสื้อสีขาวตามเข้าไป2คนล่ำสันแข็งแรงทั้งคู่และแล้วหมอก็ถือเข็มฉีดยาที่บรรจุด้วยน้ำยาสีขาวเต็มหลอดเดินเข้าไปในห้องต้องขอกราบทูลว่าประตูห้องเป็นบานสปริงเปิดเข้าออกได้ด้วยบานพับสปริงของฝรั่งสมัยใหม่”

��������������� นิสิตและผมที่อยู่รอบนอกต่างเงี่ยหูฟังใจเต้นตุ๊บตั๊บไปตาม ๆ กันเพราะไม่รู้ฤทธิ์ยาชนิดใหม่ว่าจะมีผลข้างเคียงอย่างไรบ้างเพราะเคยได้กิติศัพท์ว่าเป็นยาแรงถ้าเอาไม่อยู่โรคผู้หญิง(วีดี)ชนิดนี้ถึงตายเอาได้ไม่ทันที่ภวังค์ของผมจะกลับคืนมาท่านเสนาบดีทูลต่อด้วยความตื่นเต้น“พอหมอเดินเข้าห้องได้ไม่เกินสองอึดใจได้ยินเสียงโครมครามดังมากเลยพระเจ้าข้าแล้วก็เห็นบุรุษพยาบาลนายหนึ่งกระเด็นออกมานอกห้องด้วยความแรงพวกเราทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุต่างลุกขึ้นยืนพร้อมกันโดยมิต้องนัดหมายและทันใดนั้นหมอก็เดินอย่างเร็วออกจาห้องมาบอกพวกเราว่าอย่าตกใจคนไข้แพ้ยาเลยถีบบุรุษพยาบาลกระเด็นออกมาคนที่นั่งอยู่ลำดับที่3มองไปทางซ้ายทีขวาทีเห็นพวกเราเหงื่ออกเต็มหน้าเลยพระเจ้าข้าข้าพระพุทธเจ้าก็ตกใจไม่แพ้พวกเราได้แต่นึกในใจว่ายาแรงขนาดนี้จะไหวหรึ?”

��������������� “แล้วมันเป็นอย่างไรละประชาชนของข้าถึงกับสิ้นลมหรือเปล่า”

��������������� “มิเป็นไรพระเจ้าข้าหมอบอกลืมไปว่ายาพวกนี้นำเข้ามาใหม่บางคนมีโอกาสแพ้ยาได้แต่มีวิธีแก้คือตอนปักเข็มลงไปให้หมุนเข็มไปครึ่งวงกลมก่อนแล้วค่อยปล่อยยาพระพุทธเจ้าข้า”

��������������� “เฮ้ย?โล่งอกไปทีนึกว่าเสร็จแล้วจบเท่านี้ใช่ไหมฟังแล้วเครียดเหลือเกินเหนื่อยใจ”

��������������� “ยังพระพุทธเจ้าข้าต่อไปจะสนุกยิ่งกว่านี้อีกขอพระองค์ทรงรับฟังต่อ พระพุทธเจ้าข้า”

��������������� “ไม่ฟงไม่ฟังมันแล้วเสียวบั้นท้ายว่ะยาอะไรวะถีบคนได้”

��������������� “ขอพระองค์รับฟังต่อเถิดไม่รกพระโสตพระกรรณพระองค์แน่ข้าพระพุทธเจ้าขอเอาคอเป็นประกัน”

��������������� “เอ๊า.....ฟังก็ฟังวันนี้ว่าจะมาสนุกสักหน่อยเครียดจนได้”

��������������� “เมื่อสิ้นสุดเสียงราชานุญาตแล้วพวกเราที่กำลังนั่งฟังรอด้วยใจจดใจจ่อถอนหายใจเฮือกเพราะต่างคนต่างก็ต้องฟังตอนต่อไปเช่นเดียวกันทุกคนว่ามันจะจบลงอย่างไร(แต่ในตอนหลังมารู้ว่าเป็นมุกของรุ่นพี่เขาเพื่อให้พวกเรามีสมาธิในการฟัง)

��������������� “เรื่องมันไม่มีอะไรมากหรอกพระเจ้าข้าเพียงแต่คนป่วยที่ไปนั่งรอ25คนต่างยืนขึ้นเรียงแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งเดินไปถอดบัตรตรวจจนหมดเหลือแต่ความว่างเปล่าก็เท่านั้นพระเจ้าข้า”

��������������� “ฮา ! ฮา !ฮา ! มันกลัวกันถึงเพียงนั้นเลยหรือวะสมน้ำหน้าต่อไปมันจะไม่ได้ไปเที่ยวนางคณิกาอีก”

��������������� พวกเราทุกคนที่นั่งเงี่ยงหูฟังปรากฏว่าฮืออาพร้อมเพรียงกันบางคนเก็บอารมณ์ไม่อยู่ถึงกับเป่าปากเป็นเสียงต่าง ๆ อื้ออึงไปหมดสร้างความสนุกสนานยิ่งขึ้นแม้แต่ปวดปัสสาวะอยากที่จะไปยิงกระต่ายยังต้องอั้นเอาไว้กลัวออกไปแล้วคนอื่นจะมาแย่งที่หลังจากเสียงพึมพำค่อยสงบลงจนนิ่งเหมือนทะเลเริ่มรายเรียบความเงียบเริ่มมาเยือนได้ยินแม้กระทั่งเสียงแมลงกลางคืนร้องและกรีดปีกของตนเอง.....บัดนั้นเสียงลำโพงก็ดังขึ้นอีกด้วยสุรเสียงที่ดังอย่างมีอำนาจ..ทรงปุจฉาต่อไปอีกทำให้พวกเราตั้งใจฟังอย่างสงบโดยมิได้นัดหมาย

��������������� “เสนาบดีกระทรวงวัฒนธรรมว่ามาในมหานครมีใครหรือกลุ่มใดทำผิดธรรมเนียมประเพณีผิดผีผิดสางบ้างรึ ?”

��������������� “ขอถวายบังคมทูลข้าพระพุทธเจ้าเพลาก่อนฝันร้ายเห็นอุกาฟ้าเหลืองเต็มท้องฟ้าเหนือมหานครของเราพระเจ้าข้ามันน่ากลัวเหลือเกิน”

��������������� “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการผิดจารีตประเพณีไม่เห็นจะไปด้วยกันได้เลยเจ้านี้ชักเลอะเลือนแล้ว”

��������������� “มิได้พระเจ้าข้ามันทำให้ไม่สบายใจเกรงว่าจะเกิดเหตุไม่ดีในมหานครของเราข้าพระพุทธเจ้าจึงได้ปรึกษาหารือกับท่านโหราจารย์ท่านหยิบกระดานชนวนมาขีด ๆ เขียนดวงเมืองแล้วท่านก็ทำนายทันทีเลยพระเจ้าข้าว่านครของเราตอนนี้ดวงเมืองตกน้ำจะท่วมฟ้าปลาจะกินดาวค้างคาวจะกินคนพระพุทธเจ้าข้ามันน่ากลัวมาก”

��������������� “ท่านเสนาบดีท่านไปเช็กสมองบ้างหรือเปล่าเพ้อเจ้อไปหน่อยแล้ว”

��������������� “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่พระพุทธเจ้าข้า”

��������������� “แล้วมันอาเพศอะไรล่ะมีทางแก้หรือไม่เจ้ารีบรายงานข้าร้อนใจทวยราษฎร์ของข้าอยู่เป็นสุขมานานข้าปกครองแผ่นดินด้วยทศพิศราชธรรมเสมอมามันจะเกิดได้อย่างไร ?”

��������������� “ข้าพระพุทธเจ้าได้เฝ้าสังเกตดูพฤติกรรมของทวยราษฎร์พบว่ามีสิ่งที่กระทำผิดจารีตประเพณีเกิดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อาจจะเป็นสาเหตุนี้ก็ได้พระเจ้าข้า”

��������������� “แล้วมันอะไรละรีบบอกมาข้าใจร้อนช้าเดียวเอาไปตัดหัวเลยเจ้านี่”

��������������� “มันเกิดอาเพศวัวแก่ชอบกินหญ้าอ่อนพระเจ้าข้า ?”

��������������� “มันก็เป็นธรรมดาและธรรมชาติอยู่แล้วนี้นาวัวแก่มันก็ต้องชอบกินหญ้าอ่อนเพราะมันเคี้ยวง่ายข้ายังชอบเลยเจ้านี่คิดประหลาดง่วงนอนแล้ว”

��������������� “อย่าพึ่งรีบเข้าบรรทมเลยพระเจ้าข้าโปรดระงับใจรับฟังจนครบถ้วนขบวนความก่อนเกิดพระเจ้าข้า”

��������������� “มันเป็นอย่างนี้พระเจ้าข้าไอ้ที่ว่าวัวแก่ชอบกินหญ้าอ่อนมันเป็นวัวตัวเมียพระเจ้าข้า ?”

��������������� ...........พอสิ้นกระแสเสียงของเสนาบดีได้ยินเสียงกรี๊ดโห่ฮาของเหล่าบรรดานิสิตไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนเพราะอุตส่าห์ฟังกันอย่างตั้งอกตั้งใจเจ้ามหานครได้แต่ส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นยืนทันทีไฟทั้งหมดก็ดับลงประมาณ2-3นาทีแล้วก็สว่างขึ้นภาพที่ปรากฏตรงหน้าเป็นฟลอร์ที่ว่างเปล่าพร้อมที่จะให้พวกเราได้สนุกกับการเต้นรำโต้รุ่งกลางทุ่งบางเขนต่อไปประเพณีสังสรรค์พวกเราให้รักกันสามัคคีกันมหาวิทยาลัยของเรามีความแข็งแกร่งเป็นที่น่าอิจฉาของเหล่าสถานศึกษาทั้งปวงเปรียบประดุจ........

........นาคามีพิษเพียงสุริโย ��เลื้อยบ่ทำเดโชแช่มช้า...........


Last updated: 2014-11-22 10:18:37


@ เกษตรานคร (3)
 


 
     
เชิญท่านเป็นบุคคลแรกที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความ เกษตรานคร (3)
 
     
     
   
     
Untitled Document
 



LFG
www.lookforest.com|บทความ|โปรแกรมคาร์บอนต้นไม้|ฐานข้อมูลชีวภาพ|เครือข่ายฟาร์มป่าไม้|ติดต่อบรรณาธิการ
Powered by: LOOK FOREST GROUP
23/1 ซอยรัชดาภิเษก 64 แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กทม.
Clicks: 
1,613

Your IP-Address: 3.15.194.249/ Users: 
1,612