ข้าพเจ้าออกจากห้องน้ำมาเห็นประเวศนั่งอ่านทบทวนงานที่ได้ทำผ่านมาแล้ว พอเหลียวมาเห็นข้าพเจ้า ถามว่า....
“เราจะเอายังไงต่อพี่”
�ข้าพเจ้าเดินมานั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเสร็จตอบไปว่า...
“วันที่ 11 กันยายน 25...นี้ เรานัดต่อพงษ์ให้ไปชี้แนวเขตที่ขออนุญาตครั้งแรกไม่ใช่หรือ?”
ประเวศร้องอ้อแล้วบอกว่าจะให้ประสานยืนยันอีกครั้งหรือไม่ ข้าพเจ้าว่าก็ดีกันพลาด ประเวศจึงเข้าไปในตัวอำเภอแล้วไม่นานกลับมาแจ้งว่าเรียบร้อย วันนี้ว่างทั้งวัน ขณะที่กำลังนั่งใจลอยอยู่นั้นประเวศถามขึ้นมาลอยๆ ว่า.... ?
��������������� “ผมไม่เคยเจอคดีแบบนี้โทรถามเพื่อนที่จบกฎหมายก็ไม่ได้เรื่องสักคน และรายนี้มีอิทธิพลเงียบด้วยหากเอาไม่อยู่ คนจับจะลำบากทีหลังจึงไม่มีใครกล้าจับสักคนเดียว แล้วพี่มีวิธียังไงเล่าให้ฟังบ้างซิ”
�ข้าพเจ้าตอบไปว่า....?!
��������������� “ผมยังไม่อยากสรุปวิธีการแต่ให้คุณตั้งข้อสังเกตไว้ว่า เท่าที่เราไปตรวจ ผู้รับอนุญาตย้ายหลักเขตแน่นอน และยังขุดเกินสัมปทานที่อนุญาต ปัญหามันอยู่ที่คนตรวจพื้นที่ครั้งแรก 3 คน หากยืนยันได้ก็พอมีทาง ผมให้ข้อคิดไว้เพียงเท่านี้ รอดูสถานการณ์ไปก่อน ไม่เข้าท่าก็ต้องเผ่นเหมือนคนอื่น”
คนนั่งคุยด้วยไม่สอบถามเพิ่มเติมข้าพเจ้าจึงได้บอกให้ไปพักทำใจให้สบายพรุ่งนี้ต้องไปทำงานต่อ....?
วันนี้เป็นวันที่ 11 กันยายน 25... คณะของเรามาพร้อมกันที่บ่อขุดเจาะพี่เพียรได้มาพร้อมกับป่าไม้อำเภอเมืองพอมาถึงทักทายกันเล็กน้อยตามธรรมเนียม ข้าพเจ้าให้เจ้าจอยเตรียมเครื่องมือรังวัดไว้ สำหรับประเวศให้เตรียมกล้องบันทึกภาพ ข้าพเจ้าจึงสอบถามผู้นำชี้ว่า....
“หลักแรกที่ปักอยู่ตรงไหนว่ะพงษ์”
นายต่อพงษ์ซึ่งเป็นป่าไม้อำเภอแต่รุ่นราวคราวเดียวกันตอบว่า...
�“ขอเวลาหน่อยจำได้ว่าปักตรงข้ามที่อนุญาตให้อีกราย”
พอป่าไม้อำเภอเดินหาสักครู่ก็ไปเจอพื้นที่เหมือนร่องรอยของหลุมแต่ขณะตรวจถูกถมไปแล้ว จึงชี้ว่าจุดนี้เป็นจุดแรก และวัดตรงดิ่งไปทางทิศตะวันตก 100 เมตร จะเป็นหลุมที่ 2 จะห่างจากงิ้วป่า แต่เป็นจุดลอยๆ ข้าพเจ้าจึงให้เจ้าจอยยึดโยงจากต้นมะกอกเลื่อมก่อนแล้วไปที่หมุดที่ 2 และโยงเข้าหาต้นงิ้วป่า เท่านี้ก็เสร็จ การอนุญาตในสมัยนี้ยังขาดความละเอียดรอบคอบ กลับไปจะต้องเสนอป่าไม้เขตว่าจะอนุญาตให้ใครใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้ให้ทำการรังวัดพื้นที่ให้เรียบร้อยและส่งสมุดรังวัดด้วยจะได้ตรวจสอบได้ง่ายและถูกต้องเป็นธรรม ไม่ใช่มาร์คหรือทำเป็นจุดลงในแผนที่ขณะที่พวกเรากำลังตรวจสอบพื้นที่นั้นนายอำนาจฯ ได้เดินทางเข้ามาพบพวกเราจึงถามถึงเครื่องมือและรถแบ็กโฮว่าเป็นของใคร นายอำนาจฯ บอกว่าเป็นของตน จึงได้บันทึกอายัดไม่ให้ทำงานในช่วงนี้แต่มอบให้เจ้าของดูแล....
แล้วต่างแยกย้ายกลับที่พัก เย็นมากแล้ว จึงชวนประเวศและเจ้าจอยหาอาหารตามสั่งในตัวอำเภอแล้วมอบงานให้จอยจัดการเรื่องแผนที่รังวัดให้เสร็จ ต่างแยกย้ายกันพักผ่อน...
รุ่งเช้าของวันที่ 12 กันยายน 25... ข้าพเจ้าจัดการกับอาหารเช้าเสร็จเวลาประมาณ 10.00 น. เจ้าจอยนำเอกสารแผนที่ที่ทำการรังวัดเมื่อวานบนกระดาษ เอ 3 มากางให้ดูเป็นแผนผังลักษณะเดิมเขียนที่หัวกระดาษว่า
แผนที่แสดงตำแหน่งหมุดหลักเขตบริเวณขุดเจาะระเบิดย่อยหินของนายอำนาจ ศิลาทอง โดย
มีนายต่อพงษ์ป่าไม้อำเภอเมืองแนบท้ายบันทึกฉบับลงวันที่ 11 กันยายน พ.ศ.... คราวนี้เห็นความแตกต่างกับแผนผังของนายอัคนีนำชี้ เพราะในแผนที่ที่นายอัคนี นำชี้ซึ่งมีหลักเขตปรากฏอยู่แปลง ที่อนุญาต 5 ไร่ จะอยู่ด้านทิศใต้ของแผนที่ ส่วนของป่าไม้อำเภอซึ่งไม่มีหลักเขตปักจะอยู่ทางทิศเหนือ... ปรากฏการณ์ที่สามคนเห็นแต่ละคนคิดไปต่างๆ นานา ประเวศเงียบเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ เจ้าจอยอดรนทนไม่ไหวถามขึ้นว่า...
“พี่ว่าของใครจะถูกกันแน่ ผมงงหมดแล้ว มันก็อยู่ในบริเวณที่บุกรุก 14 ไร่ เหมือนกัน แต่เราไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่าแปลงไหนที่อนุญาตจริง”
�ข้าพเจ้าจึงตอบไปว่า...
“พวกคุณทั้งสองคนจำไปจนวันตายเลยว่า งานครั้งนี้ให้บทเรียนและบททดสอบมหาหินมากทีเดียว แม้แต่ตัวเองจะจับเขายังไม่รู้ว่าเขาทำผิดอะไร เรื่องอย่างนี้คลุมเครือไม่ได้ สั่งไม่ฟ้องยกประโยชน์ให้จำเลยทันที”
ประเวศได้โอกาสถามขึ้นบ้าง...
“ถ้าเราให้สองคนที่เหลือคือพี่ชวเลขกับพี่มโหฬารชี้จุดเดียวกับป่าไม้อำเภอเมืองก็น่าจะจบ เราก็ได้ตำแหน่งที่อนุญาต”
เจ้าจอยเสริมขึ้นว่า...
“จริงของพี่ประเวศ ผมไม่น่าโง่เลย ถ้าอย่างนั้นก็เกมส์ได้ไม่ยาก”
ข้าพเจ้าเห็นว่าทั้งสองจะพากันออกนอกเส้นทางแล้วจึงดักไว้ว่า...
“ช้าก่อนท่านผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ที่ทั้งสองท่านได้ออกความเห็นมานั้นถูกต้องแล้ว แต่ถูกเพียงครึ่งเดียว ฉะนั้นมันจึงยังไม่สมบูรณ์”
�เจ้าจอยจอมสงสัยถามขึ้นว่า...!?
��������������� “พี่ทศว่ามันไม่สมบูรณ์ยังไงผมไม่เข้าใจขอความรู้ให้น้องหน่อย”
�ข้าพเจ้าเริ่มอธิบายให้ฟังว่า หากเราไปชี้นำคือบอกให้คนที่เหลือคือนายชวเลขและนายโอฬารมาชี้ตรงจุดที่ป่าไม้อำเภอเมืองได้ชี้ไว้ก่อนแล้ว จะเป็นการสมคบกันที่เขาเรียกว่า เตี้ยมกัน หากเราเป็นคนบอก ทั้งสองคนที่ยังไม่ชี้จะเข้าใจอย่างไร ถ้าเขาเห็นด้วยก็ดีไป หากเข้าไม่เห็นด้วยเราก็เสียคน งานนี้จำเป็นจะต้องวัดดวงแล้วโดยให้ทั้งสองคนที่เหลือเดินดูพื้นที่ถ้าเขาจำได้ก็ถือว่าโชคเข้าข้างเรา หากชี้กันคนละจุดก็ถือว่าเราต้องยอมรับว่างานนี้เราแพ้อย่างราบคาบ เหตุนี้แหละที่ทำให้ป่าไม้เราบางครั้งที่เรากล่าวหาว่าเขาละเว้นไม่จับกุมสาเหตุใหญ่คือไม่ทราบว่าจะจับกุมอย่างไร ไม่รู้ไม่เห็นดีกว่า หาครูไม่ได้ในบางเรื่อง บางคนถึงกับฉีกอุดมการณ์ทิ้งเอาเงินดีกว่า ทั้งคู่นั่งฟังอย่างสงบ ข้าพเจ้าจึงบอกว่าไปพักผ่อนได้พรุ่งนี้จะไปตรวจอีกครั้ง....?
วันนี้เป็นวันที่ 13 กันยายน 25..... เป็นวันชี้ชะตาว่างานของเราจะเดินหน้าหรือถอยหลัง เพราะนัดหมายทั้ง นายชวเลขและนายมโหฬาร แต่พอไปถึงสถานที่เกิดเหตุได้รับทราบจากพี่เพียรว่านายมโหฬารไม่ยอมมาตรวจอ้างว่าป่วย ข้าพเจ้าเข้าใจดีว่าเขาคิดอย่างไร เพราะรู้นิสัยว่าเป็นคนไม่รับผิดรับชอบอย่างเดียว แต่คณะกรรมการมี 3 คน มาชี้ 2 คน ถือว่าใช้ได้กลับไปสำนักงานป่าไม้จังหวัดเห็นจะต้องให้ป่าไม้จังหวัดสั่งให้ส่งใบลาป่วย มิฉะนั้นเคยตัวชอบอ้างอุปสรรคร่ำไป พอชวเลขเห็นข้าพเจ้าร้องทักทายเนื่องจากเป็นวนศาสตร์รุ่นเดียวกัน ข้าพเจ้าจึงถามว่า คงรู้แล้วนะว่าให้มาทำอะไร เพื่อนบอกว่า...
“เจ้านายรีบๆ ให้ชี้จุดเร็วๆ หน่อย จะได้มีเวลาไปเติมพลังกัน”
ข้าพเจ้าดูเพื่อนไม่ซีเรียสอะไรเลย รู้นิสัยกันดี ข้าพเจ้าจึงบอกไปว่า...
�“ตอนมาตรวจอนุญาตให้เขาขุดระเบิดหินได้มาดูหลักเขตหรือเปล่า ไม่ใช่นั่งเทียนนะเพื่อน”
�เจ้าชวเลขร้องออกมา...
“มาซิ ไม่มาก็บ้าแล้ว งานเบาๆ แต่สุราดีหาที่ไหน”
�ข้าพเจ้าจึงตอบไปว่า ...
“เอาเดินดูแถวนี้มีการปักหลักเขตตรงไหนบ้าง”
เพื่อนเดินมองไปบริเวณที่ถูกขุดเจาะเป็นหลุมขนาดใหญ่ แล้วก็หันมามองหาถนนที่ผ่านหน้าแปลงอนุญาต และถามหาถนนสายบ้านกระทมที่มีทางแยกไปบ้านละหุ่ง แล้วบอกข้าพเจ้าว่าหลักเขตที่ปักหลักแรกห่างจากทางแยกไปบ้านละหุ่งประมาณ 100 เมตร พอดีกับป่าไม้อำเภอเมืองขับรถมาถึงจึงให้พาไปดูทางแยก คณะเราเดินทางไปทางทิศตะวันออกสักครู่ก็พบทางแยก คราวนี้เดินกลับในแนวตรงระหว่างทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เดินมาได้สัก 3 นาที ข้าพเจ้าให้หยุดพอดีกับเพื่อนชวเลขเริ่มจะจำอะไรได้บ้างแล้ว จึงชี้ไปที่พื้นบอกว่าหลักอยู่ในบริเวณนี้รัศมีไม่เกินเมตรแล้วก็ชี้จุด ข้าพเจ้าจึงเดินไปที่จุดนั้น แล้วกวาดก้อนหินออกจะพบซองบุหรี่สายฝนที่ข้าพเจ้าได้แอบฝังไว้เมื่อตอนที่ป่าไม้อำเภอเมืองชี้จุด ตอนนั้นไม่กล้าให้ตอกหมุดเกรงว่าคนที่มาชี้ภายหลังจะชี้ตามหลักที่ฝัง แต่คราวนี้ ได้ทราบผลเป็นที่ประจักษ์แล้วว่านายชวเลขได้ชี้จุดหลักเขตที่อนุญาตตรงกับป่าไม้อำเภอเมือง หลักต่อไปก็ไม่ยากให้เจ้าจอยเอาเทปวัดจากหลักแรกไปทางทิศตะวันตก 100 เมตร ก็ได้จุดเดียวกัน จึงให้มือรังวัดทำการรังวัดเพิ่มเติมโดยให้ยึดโยงหมุดที่ 1 เข้ากับต้นมะกอกเลื่อม และจุดที่ 2 เข้ากับต้นงิ้วป่าคราวนี้เป็นอันจบกัน เพื่อนร้อนใจบอกว่า....
“เสร็จหรือยังว่ะเปรี้ยวปากแล้ว”
ข้าพเจ้าบอกว่าใกล้แล้วรอประเวศบันทึกการตรวจสอบก่อน เพื่อนใจร้อนขอกระดาษมาจากประเวศแล้วหาที่นั่งเหมาะ สัก 20 นาที เห็นจะได้บันทึกเสร็จเอามาส่งข้าพเจ้าอ่านแล้วใช้ได้จึงให้พวกเราถอนกำลังไปที่ภัตตาคารในเมือง แล้วเราก็มานั่งในร้านอาหารเพื่อนไม่รอช้าสั่งวิสกี้ เร็ดเลเบิลมา 1 ขวด โซดา 2 น้ำแข็งแห้ง 1 กระป๋อง พอได้วัตถุดิบมาแล้วชงเป็น 2 แก้ว ส่งให้ข้าพเจ้าแล้วบอกว่า ฉลองหน่อยเพื่อนไม่ได้เจอกันนาน และถามไถ่ว่ามาอยู่ท้องที่เห็นว่างานมากจนไม่ได้ไปเจอเพื่อนฝูงในเขต เราทั้งสองต่างคุยกันฉันท์เพื่อน พอบ่าย 2 โมง เพื่อนขอตัวกลับเขต ข้าพเจ้าได้แต่นึก เพื่อนคนนี้เป็นคนมองโลกในแง่ดี มาเร็วไปเร็วชีวิตมีแต่ความสุข ไม่มีอะไรมาทำให้เป็นปัญหา ข้าพเจ้าอยากจะมีนิสัยอย่างนี้จะได้มีความสุขกับเขาบ้าง ทำไมในหัวสมองมันมีแต่ปัญหาไม่รู้จบสิ้น เพื่อนมาคราวนี้ได้สอนธรรมะให้นับว่าไม่เสียเที่ยว...
คณะเราจึงได้เดินทางกลับสำนักงานฯ พอถึงทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับที่พัก ข้าพเจ้าเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะทำงานหยิบบันทึกที่ให้ประเวศบันทึกการตรวจสอบบริเวณเพิ่มเติม ซึ่งมีข้าพเจ้าคนเดียวยังไม่ได้ลงนาม คิดว่าจะจัดการให้เสร็จ เป็นบันทึกที่ประเวศบันทึกในเวลาเดียวกันกับเพื่อนชวเลข ทำชี้จุดและเป็นบันทึกฉบับเดียวในการจับกุมครั้งนี้ของประเวศ เพราะการจับกุมทุกครั้งที่ร่วมกับข้าพเจ้า ประเวศจะเป็นผู้บันทึกคนเดียวตลอดแต่มาคราวนี้เป็นเรื่องแปลกหลุดมือไปได้อย่างไร เจ้าตัวจึงอ่านทางข้าพเจ้าไม่ออกว่าจะเอาอย่างไร แม้กระทั่งขณะนี้ทุกคนก็ยังไม่รู้ว่าข้าพเจ้าคิดอย่างไร เมื่อบันทึกการตรวจสอบพื้นที่เพิ่มเติมของประเวศมาอยู่ตรงหน้า จึงไล่อ่านสาระที่ยังไม่ได้บันทึกไว้ ใจความว่า ...
ข้อ 2 บริเวณโดยรอบข้างทิศใต้และทิศตะวันออก ทิศตะวันตก พบร่องรอย การไถเปิดหน้าดินใหม่เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 32 ตารางวา สภาพป่าข้างเคียงยังสมบูรณ์อยู่เป็นป่าลูกไม้ ตรวจพบไม้ขนาดเล็ก คดงอใช้เป็นสินค้าไม่ได้ ถูกไถแล้วนำมาเก็บรวมกองกันไว้ 2 กอง ทิศตะวันออกเฉียงใต้ 1 กอง ประมาณ 100 ต้น เป็นไม้หวงห้ามไม้เต็งไม้รัง มะค่าแต้ มะกอกเลื่อม กองที่ 2 ด้านทิศเหนือประมาณ 30 ต้น ได้ประมาณค่าเสียหายเป็นเงิน 85,600 บาท อ่านจบจึงได้ลงนามในบันทึกเป็นคนสุดท้าย เสร็จแล้วมานั่งนึกประมวลผลแสดงว่าผู้รับอนุญาตได้ขุดเจาะระเบิดหินโดยการเลื่อนเสาหลักเขตไปเรื่อย จริงตามหนังสือร้องเรียน...
เมื่อข้อเท็จจริงเป็นไปว่ามีการบุกรุกขุดเจาะระเบิดเกินเนื้อที่จริงดังนี้ เราจะทำอย่างไรเป็นปัญหาที่คนเป็นหัวหน้าทีมงานข้าพเจ้าจะต้องตัดสิน จะเรียกประชุมผู้ร่วมงานเพื่อขอความคิดเห็นคงจะไม่มีใครกล้าให้คำตอบ เพราะศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เห็นทีแม่ทัพต้องตัดสินใจ พรุ่งนี้ก็รู้...
ขณะที่กำลังจะขึ้นไปชำระร่างกายเห็นประเวศเดินนุ่งผ้าขาวม้าพาดไหล่ด้วยผ้าเช็ดตัวเดินมานั่งตรงหน้าถามขึ้นว่า...
“ที่ผมขอถามอะไรสักหน่อย สงสัยเก็บไว้มันอึดอัดใจ”
ข้าพเจ้าตอบว่าถามมาตอบได้จะตอบ...
ประเวศจึงถามว่า...
�“ตอนที่เราเดินจากทางแยกบ้านละหุ่งไปบ้านกระท่มไปที่บ่อหิน ทำไมพี่หยุดตรงจุดที่พี่ชวเลขชี้หมุดที่ 1”�
เอาละซิ มีคนช่างสังเกตตั้งปุจฉาขึ้นแล้ว คิดแล้วควรบอกให้หายคลางแคลงใจว่า...
“คุณสังเกตตอนผมเดินหรือไม่ ผมเดินก้าวช้าๆ พอมาถึงก้าวที่ 150 ผมก็หยุด เพราะคาดว่าน่าจะถึง 100 เมตร ตามที่เจ้าเพื่อนผมมันบอก พอดีเจ้าตัวจำจุดปักหลักเขตได้ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดี และตรงจุดนี้ผมได้แอบเอาซองบุหรี่กลบฝังไว้เป็นจุดที่ป่าไม้อำเภอเมืองชี้โดยไม่ให้พวกคุณเห็น”
�พอเล่าจบผู้ฟังลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปยังบ้านพักของตนโดยไม่ซักถามอะไรต่อ...
ท่านผู้อ่านลองมาตามดูซิว่าข้าพเจ้าง้างนกแล้วจะยิงหรือไม่…?

Last updated: 2014-09-27 12:39:48