��������������� ............และแล้วเสียงสั่งการจากลำโพงก็กังวานขึ้น� “อาณาประชาราษฎร์ของพระองค์ทุกคนขอถวายบังคม� พระพุทธเจ้าข้า!!.................เสมือนอัตโนมัติพวกเราทุกคนที่นั่งคุกเข่ายกมือพนมขึ้นสูงพร้อมเงยหน้ามือชิดกันยกพร้อมเงยหน้าแล้วโน้มเข้าจรดหน้าผากแล้วลดลงมาพนมไว้ที่หน้าอก� ความสวยงามแล้วแต่ใครจะเคยดูลิเก� หรือหนังพีเรียดย้อนยุคมาก่อน� เพราะไม่ได้มีการบอกกล่าวหรือเตรียมการไว้แต่อย่างใด.....
��������������� “เฮ้ยไอ้เมธ� นายถวายบังคมสวยนี่หว่า� สงสัย� ลิเกเก่าว่ะ!
��������������� ไอ้ชิน� มันยิ่งสวยกว่าเราอีกว่ะ� บ้านมันอยู่ลาดกระบังสงสัยคณะลิเกเยอะว่ะ!”
��������������� ต่างคนต่างล้อเลียนกันสนุกกันเต็มที่� พลันเสียงจากพระโอษฐ์ก็กังวานขึ้นในขณะที่ไฟส่องฟลอร์เริ่มหยุดเปล่งแสงไปคู่หนึ่ง� แสงที่เหลือจึงผ่านด้านหลังของเจ้ามหานคร� ทำให้เรามองพระพักตร์เจ้าผู้ครองนครไม่ชัดไม่ทราบว่าใครได้สวมบทนี้� สุรเสียงที่เปล่งออกมามีอำนาจผ่านลำโพงคิดว่าไมค์คงเหน็บไว้ที่คอเสื้อ.........ว่า
��������������� “ท่านเสนาบดีมาครบองค์ประชุมแล้วหรือยัง”� พระองค์ทรงตรัสสุรเสียงดังฟังชัดเต็มไปด้วยน้ำเสียงนิ่มนวลแต่ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจ.............ชายทั้ง� 6� คน� ที่เรามองเห็นนั่งหมอบอยู่เมื่อสักครู่� ต่างคุกเข่ายกมือถวายบังคมพร้อมเปล่งวาจาพร้อมกันว่า..........
��������������� “พร้อมทุกกระทรวงแล้วพระพุทธเจ้าข้า� ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน”
��������������� เอ๊า!� ......เมื่อพร้อมแล้วรายงานสถานการณ์ในรอบปีที่ผ่านมาให้ฟังหน่อยซิ”
��������������� บรรยากาศโดยรอบมีแต่แสงสลัว� ดวงตาทุกคู่ของพวกเราต่างเพ่งและจ้องมองไปยังจุดเดียวกันพยายามปรับโฟกัสของแก้วตาให้ชัดมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้� มันทำให้ปวดตาพอสมควรแต่ทุกคนลืมไปเพราะความอยากรู้อยากเห็นเป็นวิสัยของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว............?
��������������� เอ๊า!� .......ออกญากลาโหมก่อนก็แล้วกัน� ความมั่นคงภายใน� และความมั่นคงภายนอกพระมหานครเป็นอย่างไรสงบเรียบร้อยดีหรือไม่� มีข้าศึกมารุกรานให้รำคาญใจบ้างรึ”
��������������� “ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายรายงานความมั่นคงภายในก่อน� เมื่อสองสามเพลาที่ผ่านมามีลิ้นกระทบฟันบ้างพระพุทธเจ้าข้า”
��������������� ...........เจ้าเอาอะไรมาพูด� ลิ้นอยู่ส่วนลิ้น� ฟันอยู่ส่วนฟัน� มันจะกระทบกันได้อย่างไร� เจ้านี้จะประสาทเสียซะแล้วซิ!”
��������������� “ข้าพระพุทะเจ้าขอประทานอภัยโทษมันเป็นคำเปรียบเปรยพระเจ้าข้า!”
��������������� “แล้วเรื่องมันไปอย่างไรมาอย่างไรอย่ามัวเล่นลิ้น� ข้ารำคาญแล้ว”
��������������� “ความจริงมันเป็นดังนี้พระเจ้าข้า� ประชาชนชาวป่าไม้ทะเลาะกับชาวไร่ชาวสวน� ทำให้แตกความสามัคคี� พระพุทธเจ้าข้า� แต่ดีที่ว่ามันทั้งสองมิได้ยกพวกตีกันให้เป็นที่รำคาญใจของทหารหลวง� มันตัดสินกันเองอย่างลูกผู้ชาย� ได้ข่าวว่าแต่ละข้างส่งชายฉกรรจ์มาต่อยตีกันฝ่ายละหนึ่งคน� ไอ้สองตัวมันตัวโตด้วยกันทั้งคู่ประจวบเหมาะกับทั้งสองมันหมายปองแม่หญิงเดียวกันเลยมีความแค้นเป็นทุนเดิม� อีกทั้งคู่เมื่อแต่ก่อนเป็นเพื่อนรักกันด้วย� เพิ่งมาแตกคอกันเพราะนังหญิงคนเดียวกัน� มันก็ยุติธรรมดีแล้วพระพุทธเจ้าข้า”
��������������� “แล้วผลมันเป็นประการใดละข้าฯใคร่จะรู้นัก”
��������������� “มันก็จบเร็วเกินไปซิ� พระพุทธเจ้าคะ”
��������������� “มันเร็วอย่างไร?� ล่ะ�� รีบเล่ามาข้าอยากฟังเต็มทนแล้ว”
��������������� “มันก็แพ้ทั้งคู่พระเจ้าข้า”
��������������� “แพ้อย่างไรทั้งคู่มันต้องมีคนชนะซิวะ”
��������������� “เป็นความจริงพระเจ้าคะ� มันทั้งสองกำหมัดเข้าแลกกันตูมเดียวสลบทั้งคู่เลยพระพุทธเจ้าข้า!”
��������������� พอสิ้นเสียงของออกญากลาโหมรายงาน� พวกเรานิสิตรอบวงต่างหัวเราะโห่ร้องสนุกสนานกันเต็มที่� บางคนปล่อยก๊ากออกมา� บางคนหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหลก็มี........ทันใดนั้นทุกคนต้องหุบปากลงทันที� เนื่องจากมีเสียงรับสั่งจากพระเจ้ามหานครตรัสต่อไปว่า ......
��������������� “แล้วความมั่นคงภายนอกละเป็นอย่างไร?”
�

Last updated: 2014-09-13 23:19:50