คดีประวัติศาสตร์ที่ป่าไม้เราควรศึกษา เรามาว่ากันต่อ มาดูสาระสำคัญในบันทึกการจับกุม
ที่เจ้าหน้าที่ศุลกากร บันทึก เอาเป็นว่าเราย้อนไปเรื่องเดิมสักนิด เจ้าหน้าที่ศุลกากรจับรถตู้คอนเทนเนอร์ จำนวน 2
คัน ได้ผู้ต้องหา 2 คน และมีนายระพีพัฒน์ฯ มาแสดงตนว่าเป็นเจ้าของไม้ มาดูบันทึกการจับกุมซึ่งเป็นขบวนการขั้นต้น
จะสรุปประเด็นหลักคือ เมื่อนายระพีพัฒน์ฯ มามอบตัวแล้ว
ผู้จับกุมได้สอบถามดังต่อไปนี้ ...
นายระพีพัฒน์ฯ ได้มาแสดงตนและให้ปากคำยืนยันว่า นายวสันต์ฯ
(คนขับรถ) และ หจก.ชาญชัยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นเพียงผู้ถูกจ้างให้ขนส่งเท่านั้น
และได้ให้ปากคำต่อไปว่า ตนเองรับซื้อไม้พะยูงจากบุคคล 3 คน คือ นายเล็ก
นายบุญมี และนางหนูค่าย ซึ่งเป็นคนรู้จักกันนำมาขายในราคาถูกและตนทราบดีว่า
เป็นไม้ที่ไม่ได้ผ่านการชำระภาษีศุลกากร เพราะบุคคลทั้ง 3 ได้แจ้งแก่ตนไว้
และตนต้องการซื้อเพื่อขายต่อทำกำไร โดยต้องการส่งให้ลูกค้าที่อยู่ต่างประทศ เนื่องจากมีญาติชื่อนายดำจะเป็นผู้ผ่านพิธีการศุลกากร
ณ ท่าเรือบางประกง จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยตนเองไม่มีหลักฐานการชำระภาษีศุลกากร
และไม่มีเอกสารใบอนุญาตส่งออกสินค้าไม้พะยูงแต่อย่างใด
ตอนท้ายขมวดว่านายระพีพัฒน์ฯ ยินยอมรับสารภาพโดยนายวสันต์ฯ
เป็นประจักษ์พยาน ความหมายก็คือกันคนขับรถออกไม่ต้องเป็นผู้ต้องหา
ให้ลงนามในช่องพยาน กับรถอีกคันที่ถูกจับก็ให้นายวิชิตฯ พนักงานขับรถเป็นพยานเช่นเดียวกัน กรณีนี้ถ้าเป็นทางป่าไม้จับจะตั้งข้อหาร่วมกันกระทำความผิด
คือเป็นตัวการทั้ง 3 คน
มาดูการดำเนินการชั้นพนักงานสอบสวนบ้าง ได้ทำการสอบปากคำนายนิมิต ผู้จับก็ได้ให้การไปตามบันทึกการจับกุม
โดยแจ้งข้อกล่าวหาตาม มาตรา 27ทวิ ว่าช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาไปเสีย
ซื้อหรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งของที่รู้ว่านำเข้ามาในราชอาณาจักร
โดยหลีกเลี่ยงอากรข้อห้าม ข้อจำกัด
และพนักงานสอบสวนได้สอบผู้ต้องหาทั้งสาม และได้แจ้งข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ. ศุลกากร
ให้ผู้ต้องหาทั้งสามทราบในเบื้องต้น ผู้ต้องหาที่หนึ่งรับสารภาพ
ผู้ต้องหาที่สองและสามให้การปฏิเสธ ต่อมาเมื่อสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่
9 มาทำการตรวจสอบไม้ ผู้ต้องหาที่ 1 ถึงที่ 3 ก็ยังยืนยันว่าได้ซื้อไม้จากราษฎรลาว
3 คน อยู่เมืองไชยภูทอง แขวงสะหวันเขต ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตรงข้ามอำเภอชานุมาน ผู้ต้องหาที่ 1
ได้ว่าจ้างนายสุพจน์ฯ เจ้าของเรือหางยาวขนไม้ของกลาง 16 เที่ยวค่าจ้าง 30,000 บาท
จากนั้นจ้างรถบรรทุก 6 ล้อ ขนไม้มาเก็บไว้ที่โกดังอำเภอวารินชำราบ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี และได้เรียกรถจากระยองมาขนจนถูกจับ
สรุปว่า พนักงานสอบสวนสั่งฟ้อง 2 พ.ร.บ. โดยตาม พ.ร.บ.ศุลกากร
นายระพีพัฒน์ฯ รับเป็นผู้ต้องหาคนเดียว คนขับรถ นายวสันต์ฯ นายวิชิตฯ ปฏิเสธ แต่ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ ปฏิเสธทั้งสามคน
คราวนี้มาถึงในชั้นอัยการ กลับเป็นว่าฟ้องเพียง พ.ร.บ. เดียวคือ พ.ร.บ.ป่าไม้ จึงจำเป็นจะต้องนำสืบให้ได้ว่า เป็นไม้ที่ไม่ได้ลักลอบหลีกเลี่ยงการเสียภาษี มาดูการพิจารณาในชั้นศาลบ้าง
ประเด็นแรก คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่า
จำเลยมีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในครอบครองเกินกว่า 0.20 ลูกบาศก์เมตร และมีไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครอง
เกินกว่ายี่สิบท่อนหรือรวมปริมาตร เกินกว่าสี่ลูกบาศก์เมตร
โดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวง หรือรอยตรารัฐบาลขาย
โดยพิสูจน์ไม่ได้ว่าได้ไม้ดังกล่าวมาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่?...
ประเด็นนี้ทางป่าไม้เรามีนายอดุลย์ศักดิ์ขึ้นเบิกความ วันนั้นผู้เขียนได้ไปฟังที่ศาลด้วย
แต่ไปไม่ได้พบกับอดุลย์ศักดิ์ จึงไม่ได้ให้ข้อแนะนำ แต่คิดว่า
ท่านอัยการที่เป็นโจทก์คงจะคอยแนะนำอยู่แล้ว
แต่มีตอนหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนต้องหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะศาลท่านถามว่า
ไม้พะยูงเป็นไม้หวงห้ามใช่หรือไม่ อดุลย์ศักดิ์ฯ ตอนแรกนิ่งเงียบท่าทางอึกอัก
ผู้เขียนนั่งอยู่ไม่ไกลจากอัยการที่ยืนซัก เหมือนกับท่านพูดเบาๆ กับอดุลย์ศักดิ์ฯ
ว่า เขาจับกันทุกวัน นั้นแหละทำให้อดุลย์ศักดิ์ หลุดปากตอบศาลท่านว่า เป็นไม้หวงห้ามประเภท
ก. พวกเรามีประเวศ ไปนั่งฟังต่างพากันหายใจโล่งอก...
ประเด็นนี้ศาลท่านถามอัยการท่านช่วยชักให้อยู่ในกรอบจึงได้ใจความสรุปได้ว่า
นายอดุลย์ศักดิ์ หลังจากร่วมตรวจสอบไม้ของกลางแล้ว
ได้มีความเห็นเสนอผู้บังคับบัญชาว่าไม้พะยูงของกลางน่าจะตัดในราชอาณาจักร
เนื่องจากไม่มีรูปรอยตราของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ประทับไว้ และไม่มีรอยตราป่าไม้ประเทศลาว (ปมล) ประทับไว้
และเจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจยึดไม้ของกลางได้บริเวณอำเภอวารินชำราบ ซึ่งห่างจากชายแดนไทย ลาว ประมาณ 120 กิโลเมตร
ภูมิประเทศดังกล่าวเป็นไปไม่ได้ที่จะนำไม้ของกลางเข้ามาห่างจากชายแดนขนาดนี้ ทั้งไม้พะยูงของกลางในประเทศไทยมีจำนวนมากในเขตจังหวัดอุบลราชธานี
มุกดาหาร ยโสธร เชื่อว่าไม้ของกลางถูกตัดในประเทศไทย ศาลท่านเห็นว่านายอดุลย์ศักดิ์ฯ
เป็นพยานคนกลางไม่มีส่วนได้เสีย คำให้การจึงมีน้ำหนัก...
คราวนี้มาดูว่าผู้ต้องหาต่อสู้บ้าง...
ส่วนการต่อสู้ของจำเลยที่ 1 (นายระพีพัฒน์ฯ)
ที่เบิกความว่า
ไม้ของกลางเป็นไม้ที่นำเข้าจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จำเลยที่ 1
ได้ซื้อจากคนลาว 3 คน มีนางหนูคล้าย จำนามสกุลไม่ได้ ท้าวบุญมี และท้าวเล็ก
ไม่มีนามสกุลที่อยู่เมืองไชยภูทอง แขวงสะหวันเขต ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
จากนั้นได้ว่าจ้างเรือหางยาวขนไม้ของกลางเข้าฝั่งไทยและใช้รถบรรทุก
6 ล้อ ขนไม้ของกลางไปเก็บที่โกดังซอยสหกรณ์โคนมเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร
แต่เมื่อตอนถูกศุลกากรจับในวันแรก จำเลยที่หนึ่งกลับให้การกับเจ้าหน้าที่ศุลกากรทันทีที่แสดงตัวว่าเป็นเจ้าของไม้ว่า
ซื้อสินค้าจากนายเล็ก นายบุญมี
และนางหนูค่าย ที่อยู่อำเภออำนาจเจริญ ซึ่งเป็นข้อพิรุธขัดแย้งกันว่าซื้อไม้จากที่ใดแน่? จึงมีน้ำหนักน้อยหักล้างพยานโจทก์ไม่ได้ และคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยอีกว่า นายวสันต์ฯ
กับนายวิชิตฯ กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ประเด็นนี้ถ้าผู้อ่านได้อ่านผ่านมาจะเห็นว่าศุลกากรกัน
2 คนนี้เป็นพยาน พอมาถึงกฎหมายป่าไม้ เราตั้งข้อหาร่วมกันหมายถึงเป็นตัวการทั้งสามคนมีโทษเท่ากัน...
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่สอง และที่สาม
ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่?...
พยานโจทก์นายนิมิตรฯ กับพวก อีก 2 คน เจ้าหน้าที่ศุลกากรเบิกความตรงกันว่า
ขณะเข้าตรวจค้นรถจำเลยที่ 2 และที่ 3
ให้ความร่วมมือให้การว่าการขนส่งไม้นี้ จำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้ใบกำกับการขนสินค้า
และไม้ของกลางแต่ละท่อนไม่มีรูปรอยตราของเจ้าหน้าที่ประทับไว้ ประกอบกับจำเลยที่ 1 เบิกความตอบถามค้านโจทก์ว่า
หลังจากขนไม้ขึ้นรถแล้วได้แจ้งจำเลยที่ 2
และที่ 3 ว่าไม้ของกลางไม่มีใบเบิกทางเนื่องจากเป็นไม้หวงห้ามมิชอบด้วยกฎหมาย
ห้ามขนย้าย จำเลยที่ 2 ทราบแล้วว่า เป็นไม้ที่ลักลอบตัดในประเทศเป็นไม้เถื่อนยังรับที่จะขนไม้ไปส่งอีก
จึงถือว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาร่วมข้ออ้างที่จำเลยที่ 2 และที่ 3
ปฏิเสธจึงพังไม่ขึ้น...
พิพากษาว่า
จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48 วรรคหนึ่ง, 69
วรรคสอง (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 การกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน
ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91
ฐานร่วมกันมีไม้หวงห้ามซึ่งเป็นไม้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี
ฐานมีไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 10 ปี รวมจำคุกคนละ
11 ปี คำให้การในชั้นสอบสวนและทางนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง
มีเหตุบรรเทาโทษลดให้หนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 7 ปี 4 เดือน
ริบไม้ของกลางและให้นับโทษจำเลยที่ 1 (นายระพีพัฒน์ฯ) ต่อจากโทษในคดีหลายเลขแดงที่
1778/2550 ของศาลนี้...
คดีแดงที่ว่านี้อยู่ในตอน (8) (9) ...
เรื่องนี้เปรียบได้กับคำที่ว่า ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่
พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา
ติดตามเรื่องสนุกประหลาดในตอน (12)....
พัน ชาดไพร
Last updated: 2014-07-05 07:44:47