เอาละซิ อิทธิพลของเจ้าของรถเริ่มแผ่อำนาจของมันแล้วซิ ข้าพเจ้าจึงถามว่า... ทำไม ?
ประเวศ ตอบว่า... ร้อยเวรบอกว่า เขาไม่ได้เห็นที่เกิดเหตุ ผมจึงขอร้องให้ลงประจำวันแล้วค่อยไปดู แต่เขาไม่ยอมท่าเดียว
ข้าพเจ้า ชักฉุนขึ้นมาแต่ต้องตั้งสติไว้ แล้วขอบันทึกการจับกุม เดินเข้าไปยังห้องร้อยเวร แล้วขออนุญาตนั่งลงตรงหน้า ร้อยเวรเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มหนังสือตรงหน้า ถามขึ้นว่า...
มีธุระอะไรรู้สึกว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
ข้าพเจ้า มองไปเห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีอาวุโสไล่เลี่ยกัน แต่น่าจะอ่อนอาวุโสกว่าข้าพเจ้า จึงพูดขึ้นว่า... ผมมาแจ้งความร้องทุกข์การบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ
แล้วยื่นบันทึกการจับกุมให้ ร้อยเวรรับมาดู และมองไปด้านหลังข้าพเจ้าเห็นประเวศยืนอยู่ จึงพูดขึ้นว่า... ก็ผมบอกไปแล้วว่าไม่รับแจ้งความ เพราะผมไม่ได้ไปตรวจที่เกิดเหตุ แล้วเอาบันทึกอะไรมาให้ผม
ข้าพเจ้า หมดความอดทน จึงพูดแบบมีอาการฉุนนิดๆ ว่า...!!
นี้รองสารวัตร ผมเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย มีหน้าที่ในการดูแลทรัพย์ของแผ่นดิน เมื่อพบการกระทำผิดต่อกฎหมายป่าไม้ ผมเข้าไปทำการจับกุม แล้วนำเรื่องราวที่ได้บันทึกการจับกุมมาแจ้งความและร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนมันผิดตรงไหน ที่ว่าพนักงานสอบสวนหรือร้อยเวรไม่ได้เห็นที่เกิดเหตุนั้น คดีมันอยู่ในป่าจำเป็นจะต้องจับเสียก่อน แล้วจึงมาแจ้งความและกำลังจะพาร้อยเวรไปตรวจที่เกิดเหตุ รีบลงประจำวันแล้วจะได้ไป ถ้ายังไม่ลงก็เตรียมตัว ผมจะพาไปเดี๋ยวนี้
ฝ่ายพนักงานที่เป็นร้อยเวรหน้าถอดสี แล้วรับเอกสารไปพลิกอ่านแล้วถามว่า... แล้วนี้มันอะไร?
ข้าพเจ้า บอกไปว่า... ก็บันทึกการจับกุมที่ทำขึ้นตามกฎระเบียบ ถ้าร้อยเวรไม่เชื่อ ผมพร้อมที่จะนั่งให้สอบสวนเดี๋ยวนี้ หรือถ้ารองสารวัตรมีเวลาไปตรวจที่เกิดเหตุก่อน แล้วมาสอบทีหลังก็ได้ เลือกเอา!
เลือดชักขึ้นหน้าแล้ว เป็นตำรวจประเภทไหนไม่เคยเห็นบันทึกการจับกุม พอข้าพเจ้าพูดจบ เห็นร้อยเวรนั่งพลิกบันทึก สักครู่บอกว่า ละเอียดดี เอาฉบับนี้ก็ได้ แล้วเรียกจ่ามาเอาบันทึกไปคัดย่อลงประจำวันไว้ก่อน...
คราวนี้ข้าพเจ้ารุกบ้าง... รองฯ จะดูที่เกิดเหตุเดี๋ยวนี้หรือเปล่า ผมเตรียมรถและไฟฉายไว้แล้ว
ร้อยเวร ตอบแบบอิดเอื้อนว่า... ไว้พรุ่งนี้ก็ได้ ในบันทึกทำมาละเอียดดีแล้ว
พนักงานสอบสวนคงดูแล้วเห็นว่าข้าพเจ้าเอาจริง จึงค่อยอ่อนลงบ้าง กลับเปลี่ยนสรรพนามเรียกข้าพเจ้าว่าพี่แทน... พี่จะเอายังไงต่อ บอกได้เลย
ข้าพเจ้า จึงบอกไปว่า... ขั้นแรกลงประจำวันไว้ก่อน พรุ่งนี้เราไปดูที่เกิดเหตุด้วยกัน และผมจะได้เอารูปถ่ายมาประกอบคดี เพื่อออกหมายเรียกคนขับรถ ๒ คน
พนักงานสอบสวนถามต่อว่า... พี่จะเอาผู้เชี่ยวชาญดินมาพิสูจน์ด้วยหรือเปล่า ผมขอจากกองพิสูจน์หลักฐานได้นะ
ข้าพเจ้า ตอบปฏิเสธไปว่า ไม่จำเป็น สำคัญที่ว่าจะเอารถของกลางออกมาได้อย่างไรนี้ซิเป็นเรื่องใหญ่ พนักงานสอบสวนบอกว่าไม่ยากมีพรรคพวกมาก เช่าคันละ ๕,๐๐๐ บาท ข้าพเจ้าจึงตอบตกลงทันทีพนักงานสอบสวนหยิบโทรศัพท์สำนักงานข้างตนเอง กดหมายเลขไป ๒ - ๓ หมายเลข หน้านิ่วคิ้วขมวด แล้ววางโทรศัพท์ลง บอกข้าพเจ้าว่า...
ไม่รู้มันเป็นวันอะไร ทุกเจ้าปฏิเสธหมด
ข้าพเจ้า แอบยิ้มในใจ ก็เจ้าของรถมีอิทธิพลขนาดนี้คงล็อบบี้ไว้หมดแล้ว จึงได้บอกไปว่าไม่เป็นไร เรามีคนเฝ้าของกลาง กว่าจะจัดการเรื่องต่างๆ เสร็จเล่นเอาเที่ยงคืนพอดี ข้าพเจ้า ประเวศ เจ้าจอย เจ้าซิก ต่างตกลงกันว่าจะกลับไปนอนที่บ้านข้าพเจ้าในตัวเมือง โดยให้เจ้าหน้าที่ที่เหลือพากันไปนอนที่หน่วย สร.๕ อำเภอรัตนบุรี พอมาถึงบ้านทุกคนไม่ยอมอาบน้ำ ล้มตัวลงนอนรวมกันในห้องโถง ตื่นมาแต่เช้าแปรงฟันเสร็จเดินทางไปหาอาหารที่ข้างสถานีตำรวจ ได้ให้ประเวศและธีรยุทธไปให้ปากคำพนักงานสอบสวน ข้าพเจ้าเดินไปนั่งพักที่ศาลาพักร้อน พอดีมีชายหนุ่มอายุดูจะอ่อนอาวุโสกว่าข้าพเจ้าใส่เสื้อแดง กางเกงยีนส์ เดินเข้ามานั่งตรงข้ามกับข้าพเจ้า กำลังพูดเหมือนกับจะบ่นให้ฟัง ทั้งๆ ที่เราทั้งสองไม่รู้จักกัน เสียงพึมพำพอจับใจความได้ว่า...
อะไรว่ะ ? ทุกครั้งเคยประกันได้ คราวนี้ทำไมไม่ยอมก็ไม่รู้
ข้าพเจ้า จึงถามไปว่ามีเรื่องอะไรหรือ ชายหนุ่มนิรนามจึงเล่าให้ฟังว่า รถแบ็กโฮถูกจับยึดรถไว้ จะมาขอประกันเอารถออกแต่พนักงานสอบสวนไม่ยอม เมื่อข้าพเจ้ารู้เรื่องนึกในใจว่า จุดไต้ตำตอจนได้ จึงสงบปากสงบคำได้แต่รับฟังไม่ออกความเห็นอะไร เพราะไม่ต้องการให้ผู้มีอิทธิพลผู้นี้รู้ว่า ข้าพเจ้าเองที่เป็นคนจับและกำชับพนักงานสอบสวนว่ารถปล่อยไม่ได้ ต้องยึดไว้จนคดีสิ้นสุด หากขอระหว่างคดี รัฐมนตรีเท่านั้นที่จะอนุมัติได้ ซึ่งระเบียบข้อนี้หาน้อยคนนักที่เข้าใจ ไม่ใช่แต่ผู้ประกอบการ แม้แต่ป่าไม้บางคนก็ไม่รู้ สักครู่เห็นประเวศเดินออกมา จึงลุกจากศาลาเดินไปหา แล้วจูงมือไปที่ลับตาคน เล่าเรื่องที่ได้เจอกับตัวเจ้าของรถให้ฟัง ประเวศจึงรายงานว่า พวกเจ้าหน้าที่ที่เฝ้ารถของกลาง บอกว่าเมื่อตอนดึกมีมือดีไปรัวปืนข่มขู่อยู่ชุดใหญ่ ประเวศบอกว่า ได้ถามแล้วกลัวกันหรือเปล่า ทุกคนบอกว่าไม่กลัว ยังไงก็แลกกัน เพราะเรามีลูกซอง ๕ นัด อยู่ ๓ กระบอก และปืนพกส่วนตัวอีก ๒ กระบอก ข้าพเจ้าว่าดีแล้วให้แจ้งไปว่า หัวหน้ากำลังหาทางเอารถออกให้ได้ ประเวศบอกว่าเสร็จธุระจากการให้ปากคำแล้วจะพาทุกคนเข้าไปที่เกิดเหตุ ประเดี๋ยวลูกน้องจะแตกกระเจิง เนื่องจากไม่มีผู้สั่งการ ข้าพเจ้าจึงบอกไปว่า จะแยกไปที่หน่วย สร.๕ เพื่อหาเอกสารบางอย่างมีอะไรติดต่อกันทางวิทยุ เพราะข้าพเจ้าใช้วิทยุหน่วย ซึ่งเป็นแม่ข่ายติดต่อกับลูกข่ายได้อยู่แล้วในรัศมีแค่ ๓๐ ๔๐ กิโลเมตร แล้วข้าพเจ้าก็แยกตัวไป พอถึงหน่วยจัดการหาสำเนากฎกระทรวงประกาศป่าดงสายทอ เป็นป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งหาไม่ยาก เพราะหน่วยได้รวบรวมไว้ในแฟ้มเดียวกันทุกป่าในเขตควบคุม เรียกคนงานที่เป็นพนักงานวิทยุให้เปิดเครื่องสแตนบายไว้ แล้วลากเก้าอี้นวมมานั่งที่ห้องกับพนักงานวิทยุ นึกไปถึงตอนที่ประเวศจะขอตัวไปคุมที่เกิดเหตุได้เล่าให้ฟังว่า รถที่จับเป็นของกำนันท้องที่ มีอิทธิพลมากไม่มีใครอยากยุ่งด้วย ป่าไม้อำเภอก็หนีเจ้าโฉมตามตัวไม่ได้ ต้องเอาบันทึกจับกุมไปให้ลงนามที่บ้าน แล้วไม่มาอีกเลย...
งานนี้หนักเอาการ ข้าพเจ้าคิดต่อไปว่า คงจะจริงตามที่ได้รับฟังทำอย่างไรจึงจะเอารถแบ็กโฮ ๒ คัน มาเก็บรักษาไว้ตามระเบียบได้ หากเกิดความเสียหายมาเราต้องรับผิดชอบเต็มๆ ซึ่งราคาแต่ละคันสูงน่าดู ขณะที่ความวิตกกังวลกำลังเข้ามาครอบงำในฐานะหัวหน้า พอดีกับพนักงานวิทยุบอกว่า มีวิทยุเรียกจาก สังขะ ๒ ข้าพเจ้าจึงรับสายเครื่องมือสื่อสารมาแล้วรับฟังอย่างตั้งใจ ได้ความจากประเวศว่า กำนันเจ้าของรถได้มาติดต่อกับตนเพื่อขอรับรถไปทำงานก่อนเพราะรับงานไว้มาก ตนเองจึงบอกว่ารถขณะนี้ถูกยึดให้ไปขอกับพนักงานสอบสวน กำนันตอบแบบโกรธจัดว่า ไปทางโน้นก็ให้ไปหาทางนี้ มาทางนี้ให้ไปหาทางโน้นจะเอายังไงกันแน่ แล้วถามข้าพเจ้าว่าจะให้ทำอย่างไร ข้าพเจ้าตอนแรกก็จนปัญญา แต่เมื่อคุมสติมา ปัญญาก็เกิด บอกให้ดำเนินการดังนี้ ให้เอาวิทยุมือถือเปิดเครื่องตั้งไว้บนฝากระโปรงรถ แล้วเรียกกำนัน และพวกเรามานั่งหรือยืนล้อมวิทยุรอฟังคำสั่ง ข้าพเจ้าทิ้งเวลาให้ ๑๐ นาที ได้รับเสียงเรียกว่าพร้อมแล้ว ข้าพเจ้าจึงส่งคำสั่งการดำเนินงานทางอากาศไปว่า...
Last updated: 2014-06-20 08:35:08