การสืบพยานมาถึงฝ่ายจำเลยบ้าง เมื่อผู้เขียนลงจากคอกพยาน มานั่งแล้ว นายระพีพัฒน์ฯ จำเลยก็ขึ้นไปที่คอกพยาน ทำการสาบานตนแล้วทนายฝ่ายจำเลย เข้ามาซักให้จำเลยเล่าให้ศาลฟัง จำเลยให้การปฏิเสธ เบิกความว่าตนประกอบธุรกิจนำเข้าไม้จาก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในรูปห้างหุ้นส่วนจำกัด การจัดซื้อไม้มีเจ้าหน้าที่ในการจัดการเกี่ยวกับเอกสาร ตนเองมีหน้าที่ในการบริหารงาน และการซื้อไม้ในที่ดินกรรมสิทธิ์ มีนายเล้ยฯ เป็นผู้นำมาขายอีกทอดหนึ่ง ในการตรวจสอบไม้ของกลางตนไม่ทราบ เพราะเจ้าหน้าที่ไม่แจ้ง และอีกทั้งไม่มีผู้เชี่ยวชาญมาตรวจด้วย กรณีการตั้งโรงงานแปรรูปไม้นั้น ตนเองขอปฏิเสธว่าไม่จริง ส่วนบันทึกคำให้การกับพนักงานสอบสวนว่า จำเลยหาคนงาน 1 ถึง 2 คนมาถากไม้ เพื่อแปรรูปไม้ด้วยขวานหรือเครื่องมือแปรรูปนั้นไม่จริง จำเลยไม่เคยให้การดังกล่าว เศษไม้และเปลือกไม้ที่พบ เกิดจากเจ้าของที่ดินถากไม้เพื่อนำเศษไม้ไปทำฟืน สำหรับขี้เลื่อยเจ้าของที่ดินซื้อมาเพื่อทำธูปและถ่านอัดแท่ง เมื่อศาลท่านรับฟังจบแล้ว ทนายจำเลยขอให้ศาลมีหมายเรียกผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์ไม้มาอีกครั้ง ศาลท่านว่าทำไม่ได้ หากเขาไม่มาจะเป็นการขัดอำนาจศาล นายระพีพัฒน์ฯ จำเลยอ้างว่าสามารถติดต่อให้มาได้ ศาลท่านจึงได้หันมาทางอัยการในฐานะโจทก์ ว่ามีความเห็นอย่างไร ท่านอัยการแม้ท่านจะเป็นสตรี แต่เข้มแข็งหนักแน่นไม่แพ้ชาย แต่ท่านยืนยันกับศาลว่า เห็นควรยุติแล้ว ถ้าอนุญาตจะเป็นการประวิงเวลาให้เนิ่นนานไปอีก ศาลเห็นด้วย จึงยุติการพิจารณา....
นับตั้งแต่วันที่คณะเราขึ้นศาลต่อสู้คดีกันหลังจากนั้น ได้จับไม้พะยูงในรถตู้คอนเทนเนอร์ และรถบรรทุก 10 ล้อ อีกหลายคัน แต่ละคันบรรทุกไม้เกิน 100 ท่อนขึ้นไป และไม้มีขนาดและสวยงามต้องตามออร์เดอร์ เวลาผ่านไปนับจากที่จับไม้ในโกดัง วันที่ 8 สิงหาคม 2549 ศาลจังหวัดอุบลราชธานี ได้ตัดสินคดี เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2550 นับเป็นเวลาทั้งสิ้น 1 ปี กับ 5 เดือน...
ผลการตัดสินสรุปได้ว่า...
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2548 วรรคหนึ่ง 69 วรรคสอง (2) 73 วรรคสอง (2) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 15 ปี ฐานมีไม้หวงห้ามซึ่งเป็นไม้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 15 ปี ฐานมีไม้หวงห้ามอันยังไม่ได้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 4 ปี รวมจำคุก 34 ปี คำให้การและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลย หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 22 ปี 8 เดือน ริบไม้ของกลาง ส่วนคำขอให้จ่ายสินบนนำจับให้แก่ผู้นำจับเมื่อศาลไม่ได้ลงโทษปรับจำเลย คำขอในส่วนนี้จึงให้ยก...
ทันทีที่ศาลท่านตัดสินเสร็จในห้องที่นั่งฟัง มีนายระพีพัฒน์ฯ มาฟังด้วย ถูกตำรวจศาลควบคุมตัวไป และเจ้าตัวได้ทำเรื่องขอประกันตัวอุทธรณ์คดีต่อไป พวกเรามีผู้เขียน ผอ.ณรงค์ อุทยารัตน์ คุณประเวศ สุจินพรัหม และคณะ ต่างเดินออกมา พอพ้นเขตศาลต่างแสดงความยินดีต่อไป ที่งานคราวนี้สำเร็จลงได้ หากจะกล่าวถึงคดีนี้ต้องยกความดีให้กับผอ.ณรงค์ฯ ที่แม้จะเป็น ผู้อำนวยการส่วนจัดการต้นน้ำ แต่เมื่อได้รับการร้องขอจากผู้เขียน ไม่ว่าจะเป็นขอใช้รถยนต์ประจำส่วน หรืองบประมาณค่าน้ำมัน และตัวเองหากว่างจะออกเดินทางไปร่วมตรวจสอบในพื้นที่ด้วยทุกครั้ง ผู้เขียนเป็นหัวหน้ากลุ่มงานวิชาการ งบประมาณมีน้อย แม้จะรักษาราชการแทนผู้อำนวยการบ่อย และยาวนาน แต่ไม่มีงบเป็นของตนเอง จึงอาศัยการบูรณาการสนธิทั้งกำลังคน และกำลังทรัพย์จากส่วนจัดการต้นน้ำ เมื่อครบเวลา 1 เดือน จึงได้ขอคัดสำเนาคำพิพากษาเพื่อทำเรื่องรายงานกรม แต่ไม่ได้รับความสนใจจากหน่วยเหนือ ไม่รู้ได้เวียนให้สำนักต่างๆ ได้ใช้เป็นกรณีศึกษากันบ้างหรือไม่ หรือว่าหน่วยเหนือเห็นว่า เป็นเรื่องธรรมดาพื้นๆ...
เรามาว่ากันต่อดีกว่า ว่าศาลท่านวิเคราะห์หรือวินิจฉัยประเด็นใดบ้าง เมื่อได้คำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ 302/2550 คดีหมายเลขแดงที่ 1778/2550 ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2550 หากผู้อ่านท่านใดสนใจผู้เขียนพร้อมจะส่งให้...
เมื่ออ่านคำพิพากษาจนจบ พบว่ามีสิ่งที่ท่านต้องวินิจฉัยอยู่ 2 ประเด็นหลักคือ...
ประเด็นแรก คือ หลักเกณฑ์วิธีการตรวจพิสูจน์ไม้ของคณะผู้จับกุมโดยศาลท่านได้บรรยายว่า... นับตั้งแต่ตรวจค้นพบไม้ของกลาง จากนั้นจำเลยนำหลักฐานการได้มาของไม้ของกลางมาแสดง และพยานทั้งสามเดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงตามเอกสารที่จำเลยนำมาแสดง โดยพยานโจทก์ทั้งสามต่างก็เป็นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการไปตามอำนาจหน้าที่ จึงไม่มีเหตุอันใดที่จะต้องปรุงแต่งเรื่องราวอันเป็นเท็จ แล้วมาเบิกความเพื่อปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ น่าเชื่อว่าพยานทั้งสามเบิกความไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและ รู้เห็นมาจริง โดยนายทศนารถ พยานโจทก์ ซึ่งขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งผู้รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 และเป็นหัวหน้าชุดตรวจสอบ เบิกความยืนยันว่า ไม้ของกลางเป็นไม้พะยูง ไม้ประดู่ และไม้สาธร ซึ่งเป็นไม้ที่มีลายไม้ วงปีชัดเจน แม้ไม้ของกลางบางส่วนจะถูกแปรรูปเป็นท่อน โดยการตัดถากปีกด้านข้างออก แต่บริเวณลายไม้ ใจไม้ หรือแก่นไม้ตรงกลางยังอยู่ ตรวจสอบโดยวิธีทางกายภาพโดยนำแผ่นพลาสติกใสทาบและทำตำหนิลายไม้ แก่นไม้และวงปีของตอไม้แล้ว นำไปเปรียบเทียบกับไม้ของกลางได้ วิธีการตรวจสอบดังกล่าวได้มาตรฐานและเป็นไปตามหลักวิชาการ โดยก่อนการตรวจสอบ ได้มีการแจ้งให้จำเลยทราบ แต่จำเลยไม่มาร่วมตรวจสอบ ผลการตรวจสอบปรากฏว่า แก่นไม้และวงปีของไม้ทั้งหมด ไม่ตรงกับไม้ของกลาง ทั้งขนาดตอไม้ที่พบไม่ใหญ่ ไม้ของกลางจึงไม่น่าจะเป็นส่วนกิ่งของตอไม้ดังกล่าว ดังนั้น แสดงให้เห็นว่าตอไม้ที่อยู่บนดินของบุคคลดังกล่าวทั้ง 14 ราย ตามที่จำเลยอ้างไม่ใช่ที่มาของไม้ของกลาง....
ต่อไปจะเป็นการวิเคราะห์ในเรื่องโรงงานแปรรูปไม้ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า จำเลยกระทำผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ นายประเวศ นายทศนารถ นายไมตรี พยานโจทก์ทั้งสามเบิกความและยืนยัน ว่าบริเวณที่ตรวจค้นพบไม้ของกลาง มีลักษณะมีรั้วมิดชิด มีหลังคาตาข่ายสีดำ นอกจากนี้ยังพบปีกไม้ และเศษไม้ที่ยังหลงเหลือจากแปรรูปอยู่ทั่วไป ตามภาพถ่ายและบันทึกการตรวจค้น เมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายปรากฏว่า มีปีกไม้และเศษไม้ ซึ่งมีลักษณะอันเกิดจากการเลื่อย ผ่าถากแก่ไม้ให้เปลี่ยนรูปไปจากเดิม กองอยู่ทั่วไปเป็นจำนวนมาก อันแสดงว่า บริเวณดังกล่าวมีการดำเนินการแปรรูปไม้ ประกอบกับโจทก์มี พันตำรวจตรีอุทัยฯ พยานโจทก์อีกปากหนึ่ง ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนเบิกความยืนยัน ในชั้นสอบสวน จำเลยให้การว่าจ้างคนงานประมาณ 1 ถึง 2 คน มาถากแปรรูปไม้โดยใช้ขวาน หรือเครื่องมือแปรรูปที่บริเวณดังกล่าวตามบันทึกคำให้การแผ่นสุดท้าย ยิ่งทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมากขึ้น ส่วนที่จำเลยเบิกความว่าไม่เคยให้การเรื่องดังกล่าวไว้ ความจริงแล้วบริเวณดังกล่าว จำเลยจัดทำเป็นโรงเก็บไม้ชั่วคราว เศษไม้และรอยถากไม้ที่พบเกิดจากเจ้าของที่ดิน ซื้อมาจากโรงเลื่อย เพื่อนำมาทำธูปและถ่านอัดแท่ง เห็นว่าได้ให้การกับพันตำรวจตรีอุทัย พยานโจทก์เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2549 หลังจากที่จำเลยถูกกล่าวหาไม่นาน เชื่อว่าจำเลยให้การไปตามความเป็นจริง โดยยังไม่ทันคิดปรุงแต่งเรื่องราวมากกว่าที่จำเลยเบิกความแตกต่างในชั้นพิจารณา อันมีลักษณะเบิกความให้พ้นผิด หลังจากที่มีเวลาคิดทบทวนแล้ว ทั้งไม่ปรากฏจำเลยเคยให้การถึงรายละเอียดข้อกล่าวหาอ้างตามที่เบิกความมาก่อน แต่เพิ่งหยิบยกขึ้นมาในชั้นพิจารณา โดยมีเพียงลำพังตัวจำเลยเบิกความลอยๆ จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง เชื่อว่าจำเลยให้การในชั้นสอบสวนว่า จำเลยได้จ้างคนงานมาถากและแปรรูปไม้ที่บริเวณดังกล่าวไปตามความจริง กรณีจึงรับฟังได้ว่า จำเลยดำเนินการแปรรูปไม้ที่บริเวณดังกล่าว ดังนี้เมื่อปรากฏว่า บริเวณดังกล่าว มีรั้วซึ่งมีลักษณะมิดชิด มีหลังคาตาข่ายสีดำ บริเวณดังกล่าวจึงเป็นสถานที่จัดทำขึ้นเพื่อทำการแปรรูปไม้ อันมีลักษณะที่จะดำเนินการอย่างเป็นกิจจะลักษณะ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการตั้งโรงงานแปรรูป เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับอนุญาตให้ดำเนินการดังกล่าว กรณีจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยมีความผิดฐาน ตั้งโรงงานแปรรูปไม้ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต...
กรณีตั้งโรงงานแปรรูปไม้ ถ้าเจ้าหน้าที่เราไม่อ่านนิยามคำว่า “โรงงานแปรรูปไม้” กฎหมายว่าไว้อย่างไร จะทำให้ไม่กล้าตั้งข้อหานี้ ส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าจะต้องมีเครื่องยนต์ หรือมอเตอร์ที่กำหนดกำลังม้าไว้ ไปเอานิยามคำว่าโรงงานของกฎหมายอื่นมาปะปน เช่นคดีนี้เจ้าหน้าที่ป่าไม้จากจังหวัด ไม่ร่วมจับกุมด้วยเพราะเกรงว่า จับไปอาจจะหลุดถูกฟ้องกลับได้...!?
กรณีความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจากกรมป่าไม้ ที่มาตรวจ 2 วัน โดยคุณประเวศ นำตรวจนั้น พอเราได้สำเนาคำพิพากษามา จึงได้ทราบว่า ผู้เชี่ยวชาญได้มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกับทีมงานเรา จึงกลายเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้มากขึ้น...
ขอเรียนผู้อ่านว่า ในช่วงแรกนี้ ผู้เขียนจำเป็นต้องทำตัวเสมือนขี่ม้าเลียบค่าย ยังไม่เข้าโจมตี เพราะต้องการให้ผู้อ่านได้เห็นภาพการลักลอบตัดไม้พะยูงว่า มีกลยุทธ์ในแบบใด และมีการพัฒนาไปในทิศทางใด เจ้าหน้าที่ของเราไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง เช่น กรมป่าไม้ และกรมอุยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช หรือทหาร ตำรวจ มีท้องที่ใดบ้างที่มีการบุกรุกเข้าตัดไม้กันอย่างหนักมาก่อน และกรมได้มียุทธวิธีในการป้องกัน ทั้งระดมพลเข้ากวาดล้าง มีทั้งแรมโบ้ มนุษย์เหล็ก แล้วแต่จะมีฉายา เปิดยุทธการแล้วเป็นอย่างไร การป้องกันได้เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ แล้วหรือไม่ ไม้ที่เหลือในป่าจะเป็นไปตามชื่อเรื่องของผู้เขียนหรือไม่ ขอได้โปรดติดตาม ผู้เขียนจะพยายามหาข้อมูลมานำเสนอโดยประสบการณ์ เราจบไปคดีหนึ่งแล้ว ที่ทำให้พ่อค้ารายใหญ่ในแถบจังหวัดอีสานใต้สะเทือนไม่มากก็น้อย แม้จะเป็นศาลชั้นต้นตัดสินก็ดี ยังเหลืออีก 2 ศาล จะได้ติดตามนำเสนอต่อไป เพราะเท่าที่เคยทำงานปราบปรามการลักลอบตัดไม้ทั้งชีวิต มีคดีนี้เป็นคดีแรกที่เห็นศาลท่านตัดสิน โทษถือว่าหนักมาก และยังมีคดีที่น่าสนใจและโทษหนัก มานำเสนอในตอนต่อๆ ไป เรามาลองดูคดีประหลาดอีกซักคดี ในตอนที่ (10)...

Last updated: 2014-05-18 07:52:13