ยุทธการชิงธง ตอนที่ 2
ลูกสีเขียวที่รักทุกคน เพลานี้ถึงฤดูกาลที่บรรดาลูกสีเขียวจะต้องจัดการแสวงหาผู้กล้า แลหญิงงามประจำรุ่น เพื่อสืบทอดประเพณีของที่มีมาช้านาน
.......... ณ สนามแห่งความทรงจำ บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยชายวัยเริ่มจะฉกรรจ์ เต็มสนามประมาณได้ 400-500 คน สิ่งที่เป็นจุดเด่นในตอนนี้ซึ่งบรรยากาศยังมืดอยู่ มีเพียงคบเพลิงที่บรรดาพี่ ๆ จัดทำขึ้นเพื่อส่องสว่าง ทางด้านทิศใต้ของสนามที่ติดกับร้านสหกรณ์ เป็นด้านที่มีอัฒจันทร์สำหรับนั่งดูกีฬา มีสุภาพบุรุษยืนเป็นสง่าอยู่ลำพังเดียวดาย ตรงหน้าบุรุษในสนามหญ้ามีบรรดาเหล่านิสิตปีหนึ่งยืนเรียงแถว ทั้งสิ้นแปดแถว แถวละ 50 คน เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว บนขอบสนามอินทรีย์จันทรสถิตทางด้านเหนือ และตะวันออก ซึ่งเต็มไปด้วยบรรดาเหล่านิสิต ด้านติดคาเฟตทีเรียหรือสระขจีจัดให้เป็นสถานที่ของนิสิตหญิง ซึ่งมีปีหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้า พี่เลี้ยงยืนด้านหลังแล้วแต่ใครจะสะดวก สำหรับด้านทิศเหนือเป็นของนิสิตชาย เริ่มตั้งแต่ปีสองขึ้นไป ทั้งสองฟากดูจะหนาตา เพราะดำมืดไปหมด...และแล้วทุกคนก็ต้องเงียบสงบเมื่อเสียงที่ดังจากคนที่ยืนบนอัฒจันทร์ชั้นบนสุดเริ่มเปล่งเสียงผ่านเครื่องขยายออกมาว่า ........!?
ลูกสีเขียวที่รักทุกคน เพลานี้ถึงฤดูกาลที่บรรดาลูกสีเขียวจะต้องจัดการแสวงหาผู้กล้า แลหญิงงามประจำรุ่น เพื่อสืบทอดประเพณีของที่มีมาช้านาน กระบวนการขั้นแรกเราต้องการชายชาตินักสู้ เพื่อสถาปนาให้เป็น ฮีโร่ โดยชายชาญบุคคลนั้นต้องฝ่าฟัน ปีนป่ายขึ้นไปเอาธงชัย สีเขียวอันมีตราสัญญาลักษณ์พระพิรุณทรงนาคามาครอบครองให้ได้เสียก่อน แล้วต่อจากนั้นไปท่านผู้ถือครองธง เจ้าจงมอบสิ่งที่เจ้าต่อสู้ได้มาแก่หญิงที่เจ้าหมายตา หญิงสาวนางใดได้ถือครอง จะต้องเป็น ฮีโร่อีน ไปในบัดดล......บัดนี้ถึงเวลาของยุทธการชิงธงเริ่มขึ้นแล้ว ขอทุกท่านที่ยืนจงหันหลังกลับ มุ่งสู่เสาหลักที่ปักไว้ซึ่งธงอันศักดิ์สิทธิ์ ได้ ณ บัดนี้.......พอสิ้นเสียงของประธานปกครอง บรรดาปีหนึ่งทุกคนต่างกรูกันไปที่เสาไม้ท่อนกลมเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 นิ้ว ที่มีธงสีเขียวปักอยู่บนยอดเสา...........!?
..........แสงแห่งความสว่างในกลางวันเริ่มเรื่องรองขึ้น บนคลองจักษุ เห็นชัดได้แม้กระทั่งเส้นผมแล้ว มีเสาไม้กลมปักอยู่กลางสนาม สูงประมาณ 5 เมตร บนยอดมีผ้าสีเขียวสะบัดปลิวไสวสะท้อนกับแสงอาทิตย์ด้วยรูปพระพิรุณทรงนาคสีเหลืองปรากฏอยู่กลางผืนผ้า ดูมีชีวิตชีวามากนัก แต่ที่โคนเสากลับมีชายฉกรรจ์แต่ละคนรูปร่างเหมือนยักษ์ปักหลั่น ยืนใช้แขนคล้องรัดกันไว้ล้อมโคนเสาถึงสามชั้น ไล่จากชั้นใน 6 ถัดออกมาเป็น 12 และชั้นสุดท้าย 24 คน เป็นปราการมนุษย์ที่คอยป้องกันไม่ให้บุคคลใดเข้าไปเอาธงแห่งความลี้ลับนี้ได้ ความสูงของปราการมนุษย์เฉลี่ยแล้ว 160 เซนติเมตร เสาอาบหรือชโลมน้ำมันสูง 5 เมตร จึงเหลือความสูงที่จะปีนต่ออีก 340 เซนติเมตร แต่ทว่าจะทำอย่างใดที่จะฝ่าปราการไปได้ ข้าพเจ้ายืนดูอยู่ยังไม่กรูเข้าไปเหมือนคนอื่น ๆ เพราะภาพที่เห็นคนที่บุกเข้าไปไม่สามารถฝ่ากำแพงปี 2 ไปได้ เพราะกำแพงรอบนอกไม่เพียงแต่เกาะกันแน่น กำแพงชั้นนอกยังคอยผลักคนที่เข้าไปให้กระเด็นออกมา คลื่นมนุษย์ปี 1 จำนวนมหาศาลถึง 300 กว่าคน ตีโอบพยายามฝ่าเข้าไปบางคนกระโดดขึ้นเหยียบไหล่พี่ปีสอง พอมือสัมผัสกับเสาที่เต็มไปด้วยน้ำมันก็เกาะไว้ไม่อยู่ ต้องหล่นลงมาดีว่าไม่ถูกพวกที่เฮเข้าทุกด้านเหยียบเอา เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงนิสิตปีหนึ่งเริ่มจับจุดได้แล้ว พากันเข้าไปเป็นทีม ๆ ละ 3 คน ลากจูงมือพี่ปีสองออกมาทีละคน และแล้วเป็นไปตามธรรมชาติ น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟฉันใด พี่ปีสองจำนวน 42 คนก็ต้านทานมวลชนหมู่มากไม่ได้ ต่างถูกดึงออกมานั่งอยู่ด้านนอก ต่อไปเป็นการต่อสู้แย่งชิงกันเพื่อจะไต่เสาสูง 5 เมตร เพื่อดึงธงแห่งชัยชนะเริ่มขึ้น บางคนไต่ไปได้ 2 เมตร ก็ร่วงลงมา รอบ ๆ บริเวณเสาเต็มไปด้วยนิสิตปีหนึ่ง แทนที่ปีสอง แต่เป็นไปในรูปต่างคนต่างแย่ง บางคนกระโดดเหยียบไหล่เพื่อนปีนขึ้นไปเกือบจะถึงฐานของด้ามธงอยู่แล้ว ก็หมดแรง รูดเสาลงมา ข้าพเจ้ายืนมองเห็นแต่ละคนบัดนี้เนื้อตัวเปราะเปื้อนไปด้วยดินที่เริ่มจะเป็นโคลนแล้วเพราะถูกเหยียบย่ำอย่างหนัก พวกที่ถอดใจก็ออกมานั่งพัก สักครู่ก็ออกไปอีก และก็ไหลลื่นตามไม้ลงมา ไม่รู้ว่าใช้น้ำมันอะไรทาไม้ถึงได้ลื่นเหมือนจารบีหล่อลื่นรถยนต์ ยิ่งมาผสมดินโคลนที่ผู้กล้าปีนป่ายพาไปเกาะติดยิ่งทำให้เสาเพิ่มความลื่นมากยิ่งขึ้น ข้าพเจ้ายืนมองดูแล้วเห็นว่า งานนี้คงจะสำเร็จได้ยากหากทุกคนต่างแก่งแย่งกัน แล้วในโสตประสาทก็แว่วเสียงเพลงที่ซ้อมร้องกันในห้องประชุมองค์การนิสิต แว่วมาในมโนจิต ก้องดังกังวาน.... มาซิมาเกษตรศาสตร์ มาตรหมายใจไมตรี ร่วมใจรักสามัคคีกันชั่วฟ้า
พอสิ้นเสียงในมโนจิต ข้าพเจ้ามองเห็นทางที่จะเอาธงแห่งศักดิ์ศรีนี้ลงมาได้แล้ว ตรงดิ่งไปหาผู้แทนรุ่นขอคุยด้วยสักครู่ และให้ผู้แทนรุ่นเชิญผู้แทนคณะทุกคณะมาประชุมย่อยเพียง 10 นาที และแล้วภาพที่ข้าพเจ้าเห็น คณะที่มีคนน้อย เช่น เศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสัตวแพทย์ จัดคนเข้าไปประจำที่ล้อมต้นเสาไว้ทั้งสองชั้น ทำเสมือนที่พี่ปี 2 ทำ ส่วนคณะวนศาสตร์และวิศวจัดคนเข้าล้อมชั้นที่สาม ส่วนชั้นนอกสุดคณะเกษตร ซึ่งมีคนมากจัดล้อมไว้เป็น 4 ชั้น และแล้วบุคคลที่พวกเราคิดว่าตัวผอมบางและเล็กอาสาจะเป็นผู้ถอดธง เตรียมไว้แล้วจาก 4 คณะ เมื่อทุกคนร่วมสร้างปราการยักษ์เสร็จ ก็มีนิสิตชายที่แข็งแรงและแข็งแกร่งกระโดดขึ้นไปเหยียบบนบ่าเพื่อนนั่งยองยอง ๆ กอดเสาไว้ จำนวน 4 คน ครบทั้ง 4 ทิศ และแล้วบุรุษร่างผอมก็กระโดดขึ้นไปเหยียบบนบ่าของนิสิตชายทั้ง 4 ทิศ บุคคลทั้งสี่คนบัดนี้ต่างยืนขึ้น ลักษณะไม่ผิดจากการต่อตัวของกายกรรม และแล้วปรากฏว่า นิสิตทางด้านทิศเหนือเมื่อฐานยืนขึ้น ตนเองรีบยืนตามคว้าได้ด้ามธงถอดออกมาแล้วโบกสะบัด เสียงรอบสนามต่างปรบมือ โห่ร้องในชัยชนะครั้งนี้ ผู้แทนรุ่นยืนข้าง ๆ ข้าพเจ้า พูดออกมาว่า สามัคคีคือพลังจริงไอ้นารถ และแล้วเจ้า ฮีโร ของเราก็ถูกแบกแห่แหนรอบเสา ทุกคนต่างยินดีปรีเปรม เพราะแต่ละคนแทบจะหมดหวังไปแล้ว กลับเกิดปาฏิหาริย์ในไม่ถึงอึดใจ และก็มาถึงตอนที่พวกเราต่างระทึกใจว่า รุ่นของเราจะได้ใครเป็น ฮีโรอีน......?
..........นิสิตหญิงปีหนึ่งต่างยืนเรียงแถวหน้าอัฒจันทร์ และนิสิตชายฮีโรของเราได้เชิญธง เดินนำหน้า พวกเราต่างเดินตามเป็นริ้วขบวน และแล้ว ฮีโรของเราก็มาหยุดที่นิสิตหญิงรูปร่างเล็ก ผมยาวประบ่าแต่รวบเป็นสองแกะมีโบสีเขียวผูกรวบไว้ ผิวไม่ขาวนัก ข้าพเจ้าพอจะรู้จักกับเธอเพราะเราอยู่ทีมศิลปกรรมด้วยกัน เธออยู่คณะเกษตร และ ฮีโรของเราก็คณะเกษตรเช่นกัน และแล้ว หนุ่มผู้คว้าธงมาครองได้ส่งมอบให้กับสตรีที่อยู่ตรงหน้า ทุกคน ณ สถานที่แห่งนั้นต่างร้องไชโย เป็นที่สนุกสนาน...... เราได้ ฮีโรอีน ประจำรุ่นแล้ว เราเป็นน้องใหม่ของที่นี้ได้ฉายาว่า เด๋อด๋า มี ฮีโร ชื่อพีรพงษ์ เทพีขวัญใจ นิสิตหญิงชื่อ ประไพพรรณ เป็น ฮีโรอีน..... พิธีการเสร็จสิ้นเอาเมื่อองค์สุริยะเทพชักรถม้ามาอยู่ตรงกลางศรีษะพวกเราพอดี ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับที่พัก......
........ยุทธการชิงธงได้ปิดฉากลงอย่างสวยงาม เช้านี้เป็นวันอาทิตย์ ตื่นสายหน่อย อาบน้ำแต่งตัวขี่จักรยานสีแดงออกจากหอพักตั้งใจจะไปหาอะไรลงท้อง ขณะกำลังขับขี่นั่งคิดเพลิน ๆ ไปว่า ยุทธการนี้คงจะเป็นยุทธวิธีหรือกุศโลบายของสังคมแห่งนี้ที่ต้องการสั่งสอน พวกเราทางอ้อมว่า หากคิดจะทำการใดให้สำเร็จ ถ้ายังขาดซึ่งความสามัคคีแล้ว ผลที่ได้รับจะล้มเหลวทันที นี้ดีที่พวกเรากลับตัวกันทัน แทนที่จะต่างคนต่างแย่งกันปีนป่ายเพื่อครอบครองธง แต่กลับมาช่วยกัน งานที่ว่ายากเย็นแสนเข็นกลับง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ ณ อาณาจักรขจีแห่งนี้ยิ่งอยู่ไปยิ่งพานพบประสบสิ่งที่เป็นตรรกะแฝงไว้ให้ต้องนำมาคิดพิจารณาร่ำไป มิน่า แม้จะเป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่อยู่ในสายตาของบางคน แต่ข้าพเจ้ากลับเห็นว่านี้แหละคือมหาวิทยาลัยของโลกแห่งความเป็นจริง ที่สมควรจะอยู่ค้นหาทั้งศาสตร์และศิลป์ต่อไป..............
Last updated: 2014-03-16 21:14:50
|
@ ยุทธการชิงธง ตอนที่ 2 |
|
|
|
|
|
|
|
เชิญท่านเป็นบุคคลแรกที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความ ยุทธการชิงธง ตอนที่ 2
|