การงานจะสำเร็จหรือล้มเหลว ไม่ใช่เพราะคนอื่นแต่เพราะตัวของเราเองเท่านั้น
 
     
 
พะยูงฤาจะสูญสิ้นแผ่นดินไทย (๕)
เมื่อมีการสั่งไม่ฟ้องคนจับก็หมดกำลังใจ เพราะอุตส่าห์อดหลับอดนอนดักจับ และเจ้าหน้าที่บางคนที่ไม่อยากจับจะใช้เป็นข้ออ้าง “จับไปก็หลุด”
 

                ...ในตอนที่  (๒),  (๓),  และ(๔)  เราได้กล่าวถึงองคาพยพของหน่วยงานที่ดูแลปกป้องไม้พะยูงและบุคคลากรไปบ้างแล้ว  ต่อไปเรามาดูการต่อสู้คดีของพ่อค้า  ซึ่งเราได้เกริ่นไปในตอนต้นและต่อจากนี้ไปจะเป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริง  ว่าบทลงโทษของกฎหมายป่าไม้เรานั้นมีโทษสถานเบาจริงหรือไม่  ในกรณีที่หน่วยป้องกันรักษาป่า  หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจจับรถบรรทุกขนไม้พะยูงมีทั้งแปรรูปและไม้ท่อนจำนวนมาก  ตั้งแต่ร้อยท่อนขึ้นไป  สิ่งแรกที่พ่อค้าจะยื่นให้เมื่อเราถามถึงหลักฐานการได้มาของไม้  คือ  โฉนดที่ดิน  บางรายก็    ฉบับ  บางรายก็    ฉบับ  แล้วแต่พ่อค้าจะหาสำเนาโฉนดได้  และมีหนังสือรับรองการตัดฟัน    ต้น  ตัดได้  ๒๓  ท่อน  บางต้นตัดได้ถึง  ๓๐  ท่อน  และมีเอกสารประกอบแสดงว่าไม้ในที่ดินกรรมสิทธิ์ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายป่าไม้  ประกอบอีก  ๔-๕  ฉบับ  และบางฉบับยังระบุว่าใครไปละเมิดสิทธิของเขาจะถูกดำเนินคดีอาญาและคดีแพ่งจนถึงที่สุด  และจะจัดการเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา  ๑๕๗  สิ่งเหล่านี้ก็เป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งที่ทำให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ของเราไม่กล้าจับกุม  หรือถ้าจับกุม  ก็ต้องทำเรื่องขอผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์ไม้จากกรมป่าไม้  ซึ่งมีอยู่น้อยมาก  บางหน่วยรอไม่ไหวกลัวว่าเขาจะฟ้องกลับต้องปล่อยรถไปก็มี  เพราะตนเองในชั้นต้นเพียงอายัดไว้ตรวจสอบเท่านั้น  กลายเป็นว่าเจ้าหน้าที่ของเราต้องตกเป็นเบี้ยล่างโดยปริยาย  รายที่ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจเมื่อไม้มีจำนวนมาก  ไปตรวจไม่ทั่วถึงก็มาทำความเห็นในการตรวจพิสูจน์ไม้  ซึ่งมีสาระสำคัญเพียง  ๓-๔  บรรทัดว่า  “ตอไม้ที่ปรากฏมีปริมาตรไม้ครอบคลุมปริมาตรของไม้พะยูงของกลางได้  และจากการตรวจสอบความเก่าของไม้พะยูงของกลางกับตอไม้ในที่ดินที่มีโฉนด  น.ส.๓ก  มีความเก่าใหม่ใกล้เคียงกัน  จึงน่าเชื่อได้ว่าไม้พะยูงของกลาง  ถูกตัดทอนมาจากตอไม้ในที่ดินที่มีโฉนด  น.ส.๓ก  ของบุคคลทั้งสี่จริง”  เมื่อพนักงานสอบสวนเห็นก็รีบสั่งไม่ฟ้อง  พอไปถึงพนักงานอัยการไม่รอช้าเช่นกัน  มีคำสั่งไม่ฟ้องส่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัด  ซึ่งเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนลงนามอนุมัติ  คดีจึงเป็นเด็ดขาดไม่ฟ้อง  ต้องคืนของกลางทั้งหมด  หากคนจับรายใดที่เคราะห์ร้ายหน่อยอาจถูกฟ้องกลับได้  จึงทำให้ผู้จับกุมเข็ดขยาดไปตาม ๆ กัน  เราลองมาวิเคราะห์ความเห็นที่ผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์ไม้ให้ความเห็น  จะเห็นได้ว่าผู้เชี่ยวชาญพยายามที่จะกล่าวหลบเลี่ยงขนาดความโตของตอไม้มาเป็นส่วนเปรียบเทียบ  เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อท่อน  จะใช้องค์รวมของปริมาตรและความเก่าใหม่  เมื่อมีการสั่งไม่ฟ้องคนจับก็หมดกำลังใจ  เพราะอุตส่าห์อดหลับอดนอนดักจับ  และเจ้าหน้าที่บางคนที่ไม่อยากจับจะใช้เป็นข้ออ้าง  “จับไปก็หลุด”  เคยไปถามพนักงานอัยการ  ท่านบอกว่า  ป่าไม้พวกคุณรับรองกันมาเอง  ช่วยไม่ได้  ให้ไปตกลงกัน  ถ้ามานั่งคิดเล่น ๆ ก็จริงเหมือนที่ท่านพูด  “พวกเราเผาเรือน”  แต่เรื่องในลักษณะนี้จะแก้อย่างไร...?  มีตัวอย่างที่เป็นเรื่องจริง  ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้วกรุณาอ่านเป็นกรณีศึกษา...!!!?

 

                ...เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อวันที่    สิงหาคม  ๒๕๔๙  หลังจากที่เราเข้าตรวจคลังสินค้าของศุลกากรแล้ว  เดินทางกลับในขณะนั้น  กำลังพลของเรามี  จากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่    สังกัดกรมอุทยานฯ  หน่วยป้องกันรักษาป่า  สังกัดกรมป่าไม้  เจ้าหน้าที่จากสำนักทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด  ได้รับรายงานจากสายของเราว่ามีคลังสินค้าหรือโกดังตั้งอยู่ในทางที่ผ่านมีการเก็บไม้ไว้จำนวนมาก  จึงพากันไปตรวจสอบปรากฏว่า  เรายังเข้าไม่ได้แต่มีช่องให้ดูข้างในโกดังได้  เพราะเป็นโกดังที่ล้อมรอบไปด้วยด้านหน้าเป็นไม้ไผ่ขัดแตะล้อมรอบด้วยตาข่ายสีดำ  เนื้อที่ประมาณ    ไร่เศษ  มองลอดช่องเข้าไปจะเห็นไม้พะยูง  มีทั้งที่แปรรูปแล้ว  และยังเป็นท่อน  ผู้เขียนขณะนั้นในฐานะอาวุโสที่สุด  ตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มงานวิชาการ  รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่    จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ของสำนัก    นายดำเนินการโดยแบ่งแยกหน้าที่กันทำ  คนที่หนึ่งไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนท้องที่เกิดเหตุ  คนที่สอง  ไปขอหมายค้นจากศาลจังหวัด  และทราบว่าหมายค้นจะได้ในวันรุ่งขึ้น  จึงให้หัวหน้าหน่วยป้องกันในพื้นที่ที่มาร่วมจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าไม้เกรงว่าจะมีการขนหนีในตอนกลางคืน...พอวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่    สิงหาคม  ๒๕๔๙  ได้นำหมายค้นมาทำการค้นโดยเจ้าของโกดังได้มอบอำนาจให้พนักงานสตรีมานำค้นโดยเปิดประตูให้  ตรวจภายในปรากฏว่ามีไม้แปรรูป  และไม้ที่ยังมิได้แปรรูป  (ไม้ท่อน)  ปีกไม้และเศษไม้ที่หลงเหลือจากการแปรรูป  จำนวนมากกองอยู่ทั่วไป  โดยไม้ทั้งหมดไม่ปรากฏรูปรอยตราของเจ้าพนักงาน  นอกจากนี้ยังมีการจัดทำหลังคาป้องกันแดด  และลมปกคลุมไม้ดังกล่าวไว้ด้วย  ในระหว่างตรวจค้น  พนักงานสตรีของห้างหุ้นส่วนเจ้าของโกดังได้นำเอกสารการได้มาของไม้  เป็นเอกสารสิทธิ์  มีทั้งโฉนด  น.ส.๓  สค.๑  และ สปก.๔-๐๑  มีการมอบ    ครั้ง  รวมเอกสาร  ๑๔  ชุด  เอกสาร  ๑๘๖  แผ่น  เมื่อนายไมตรีซึ่งเป็นผู้นำหมายค้นมาทำการค้นและรับเอกสารแล้วรายงานให้ผู้เขียนทราบ  ลักษณะการต่อสู้เช่นนี้เคยรับฟังผู้ใต้บังคับบัญชา  และเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้เล่าให้ฟัง  มาเจอด้วยตนเอง  ความที่เป็นผู้อาวุโสสุดทั้งตำแหน่งและวัยวุฒิ  คิดว่าลองจับงานนี้ด้วยตนเองซักตั้งก็ดี  จึงให้คุณไมตรี  คุณสุชีพ  คุณเชษฐา  ตรวจสอบไม้ในโกดังโดยร่วมกับพนักงานบริษัทตรวจสอบไม้  และผู้เขียนให้ทำการยึดโดยให้ขนไม้ที่ตรวจยึดไปเก็บรักษาไว้ที่สวนป่า  ออป.พิบูลมังสาหาร  มอบหน้าที่ให้คุณไมตรีและคณะในการจัดทำแผนที่เกิดเหตุ  ตรวจวัดตีตรายึดนำไปเก็บรักษา  เริ่มตั้งแต่  ๘-๑๗  สิงหาคม  ก็เสร็จสิ้นคราวนี้มาดูสายของผู้เขียนบ้าง  กลยุทธ์  ของการดำเนินคดีที่ผู้เขียนเข้าใจ  เสียดายที่ผู้เขียนไม่ได้จบกฎหมายเป็นนิติศาสตร์บัณฑิต  เข้าใจเพียงว่าในระบบศาลไทยเป็นระบบกล่าวโทษ  เมื่อกล่าวโทษเขาอย่างไร  หรือตั้งข้อหาเขาว่าเขาทำผิดอะไร  แม้ตัวบทกฎหมายจะกล่าวว่า  “หากผู้ครอบครองไม่สามารถนำพิสูจน์ได้ว่าสิ่งนี้ได้มาชอบด้วยกฎหมายถือว่าของหรือสิ่งนั้นผิด  ผู้ครอบครองหรือผู้กระทำต้องผิดด้วย”  จึงได้คิดว่าระบบนี้หากเรามัวมานั่งงอมืองอเท้าให้เขานำพิสูจน์มันจะสายเกินไป  เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว  จึงสั่งให้สายคุณไมตรีจัดการกับไม้ของกลาง  พยายามจัดเรียงไม้ของกลางทั้ง  ๒๒๐  ท่อน  จะเป็นกี่แถวก็ได้เท่าที่พื้นที่จะอำนวย  ให้ทิศทางของท่อนที่คิดว่าเป็นโคนต้นไปในทิศเดียวกัน  แล้วใช้แผ่นพลาสติกใสทาบวาดภาพ  โดยลอกลายวงปีขอบนอกของไม้ทั้งหมด  หากมีใจไม้ให้วาดและทำตำหนิรอยแยกหรือแตกของใจไม้  ลงบนแผ่นพลาสติกให้ได้ตำหนิให้มากที่สุด  แล้วถ่ายภาพหน้าตัดทั้ง  ๒๒๐  ท่อน/เหลี่ยมให้เรียบร้อย...  คราวนี้มาทางด้านผู้เขียนบ้าง  วันนั้นผอ.ส่วนจัดการต้นน้ำ  คุณณรงค์ไปด้วย  จึงขอความร่วมมือร่วมทีม  โดยมีคุณประเวศ  คุณเจริญวัย  ดำเนินการในเรื่องเอกสารและได้อธิบายให้ทีมงานทราบว่า  ในระบบกล่าวหาหากเราสามารถที่จะหาหลักฐานมารัดหรือมัดเขาให้แน่นจนดิ้นไม่หลุด  ผู้ต้องหาจะจำนวนในหลักฐาน  หากเรามัวแต่รอพนักงานสอบสวน  เสมือนทิ้งความรับผิดชอบให้เขาทั้งหมด  เขาจะใช้แต่วิธีหรือตำราที่เรียนมาออกหมายเรียก  ขอผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบ  ซึ่งในขณะนี้เราเป็นพนักงานสืบสวนแม้อำนาจไม่มากแต่การเสาะแสวงหาหลักฐานเราก็ทำได้เท่าขีดกฎหมายกำหนด  จึงได้วางหลักเกณฑ์ในการออกเสาะแสวงหลักฐานโดยวางหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบดังนี้...

                ๑.  ตรวจเอกสารที่เจ้าของไม้นำมาอ้างว่าถูกต้องเพียงใด  ใครเป็นผู้รับรองสำเนาเอกสาร

                ๒.  ตรวจคำนวณไม้ในบัญชีหลักฐานที่ผู้เป็นเจ้าของกล่าวอ้างว่าควรมีปริมาตรใกล้เคียงกับไม้ของกลางหรือไม่?  เพราะหนังสือรับรองการตัดไม้ที่ผู้เป็นเจ้าของไม่ได้ทำบันทึกว่า  ไม้พะยูง    ต้น  ตัดฟันได้  ๓๐  ท่อน  ท่อนละ    เมตร  แสดงว่าต้นพะยูงต้องสูง  ๖๐  เมตร  เป็นไปได้หรือไม่?

                ๓.  เข้าพื้นที่เพื่อตรวจสอบตอไม้ในแปลงที่ดินจริงทำการถ่ายภาพและใช้แผ่นพลาสติกใสทาบจำลองหน้าตัดไม้ลากขอบเส้นวงปีเส้นสุดท้ายพร้อมตำหนิใจไม้หรือรอยแตก  โพรง    จุดใดวาดให้หมดทุกตอหากเจ้าของไม้ไม่มานำตรวจให้ขอความร่วมมือจากเจ้าของที่ดินและผู้ปกครองท้องที่เช่น  กำนัน  ผู้ใหญ่บ้าน  เป็นสักขีพยาน

                ๔.  อาศัยพยานแวดล้อมจากที่เกิดเหตุคำนวณความสูงของต้นไม้ในที่ดิน  เช่น  การตัดไม้ส่วนใหญ่จะล้มไม้ลงแล้วทอนเอาแต่ท่อนไม้ส่วนเรือนยอดคงทิ้งไว้  เราทำการวัดระยะจากโคนไปถึงตำแหน่งที่ตัดของเรือนยอดเราก็จะได้ความสูงของไม้ต้นนั้น  มาคำนวณจำนวนท่อนและเทียบเคียงกับการรับรองในเอกสารได้  หากต้นใดไม่เหลือเรือนยอดไว้ก็สอบถามจากเจ้าของที่ดินหรือดูจากต้นไม้ใกล้เคียงเพื่อประมาณการ

                ๕.  ตรวจสอบตอไม้ว่าเป็นตอเก่าหรือตอใหม่  ดูจากความโตและความสูงของกิ่งที่แตกแขนงออกข้างลำต้นเป็นตัวคำนวณว่า  ได้ตัดผ่านพ้นไปแล้วกี่ปี

                ๖.  หากพิสูจน์ไม่ได้จริง ๆ  ว่า  ไม้ควรสูงเท่าใดให้ใช้วิชาการเข้าช่วย  เพราะไม้พะยูงที่เราเคยพบจะสูงที่สุดระหว่าง  ๒๐-๒๕  เมตร  เท่านั้น

 

 

               ทีมงานของผู้เขียนรีบเข้าพื้นที่ดำเนินการตรวจสอบตั้งแต่วันที่  ๑๐  สิงหาคม  ๒๕๔๙  ถึงวันที่  ๒๘  สิงหาคม  ๒๕๔๙  เป็นเวลา  ๑๘  วัน  ในการตรวจสอบครั้งนี้ได้ทำหนังสือให้ผู้เป็นเจ้าของไม้มานำตรวจด้วยทุกราย  และยังมีการประสานเตือนทางโทรทัศน์  ทุกครั้งเพื่อให้นำพิสูจน์ แต่ผู้เป็นเจ้าของรับปากว่าจะมานำ  แต่ที่สุดก็ไม่มา  พวกเราก็เดินหน้าโดยขอกำนัน  ผู้ใหญ่บ้าน  เป็นพยานทุกครั้งไป  โดยได้ตรวจสอบในท้องที่อำนาจเจริญ  อุบลราชธานี...  เรามาติดตามดูว่าการดำเนินคดีกับพ่อค้ารายใหญ่จะดำเนินการในรูปแบบใดต่อในตอน  (๖)....


Last updated: 2014-03-10 19:06:23


@ พะยูงฤาจะสูญสิ้นแผ่นดินไทย (๕)
 


 
     
เชิญท่านเป็นบุคคลแรกที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความ พะยูงฤาจะสูญสิ้นแผ่นดินไทย (๕)
 
     
     
   
     
Untitled Document
 



LFG
www.lookforest.com|บทความ|โปรแกรมคาร์บอนต้นไม้|ฐานข้อมูลชีวภาพ|เครือข่ายฟาร์มป่าไม้|ติดต่อบรรณาธิการ
Powered by: LOOK FOREST GROUP
23/1 ซอยรัชดาภิเษก 64 แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กทม.
Clicks: 
1,540

Your IP-Address: 18.97.14.87/ Users: 
1,539