ทำงานให้มองฟ้า เป็นอยู่ให้มองดิน
 
     
 
ประจำวันเทียม ตอนที่ ๒
ในสมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้าต้องจุดตะเกียงน้ำมันก๊าด ซึ่งมันให้แสงริบหรี่ถ้าเราไม่มีเรื่องต้องกังวลใจมันคงเป็นบรรยากาศที่น่าภิรมย์ยิ่ง แต่คืนนี้มันกลับตรงข้าม
 

                “ ทศ ! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว  ตำรวจเขาแจ้งความพวกเราว่าบุกรุกเคหสถาน  และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยกระทำการไม่ตรงตามความเป็นจริง  ว่าแล้วพี่ชัยพรก็ยื่นสำเนาประจำวันที่ขอคัดจากพนักงานสอบสวน  โดยมีจ่าคนที่ไปถ่ายรูปเป็นคนรับรองสำเนา  ผมอ่านแล้วอึ้งทันทีที่นึกแล้วไม่ผิด  โดนจนได้  เป็นการดัดหลังกันชนิดถ้าเป็นการต่อสู่ก็เป็นการเชือดกันอย่างนิ่ม ๆ เลือดเย็นจริง.........!!!

                “ ผมว่าพี่ควรไปพบสารวัตรใหญ่ขอร้องเผื่อท่านจะช่วยได้”

ผมแนะพี่ชัยพร  เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วตอนนี้คิดอะไรไม่ออก  พี่ชัยพรก็ไม่รอช้าขึ้นไป      ที่ทำการอีกครั้งโดยขอพบสารวัตรใหญ่ได้พบสมใจนึกเข้าไปนานพอสมควร  จึงเห็นพี่แกเดินเหม่อลอยออกมามือหนึ่งถือกระดาษสำเนาบันทึกการลงประจำวันที่ให้ข้าพเจ้าดูออกมาด้วย  แต่ที่ผิดแปลกไปคือมองไปที่สีหน้าปรากฎว่าพบน้ำไหลเป็นทางออกมาจากดวงตาที่เศร้าสร้อย  มันเป็นน้ำตาของลูกผู้ชายที่นาน ๆ จะได้พบสักทีจากใครก็ได้  มันเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเป็นสิ่งบอกเหตุร้ายแรงอย่างแน่นอน............!!?

                “ ทศ  พวกเราเห็นจะแย่แล้ว  ทางตำรวจแจ้งจับเราในฐานบุกรุกเคหสถาน  และเป็น       เจ้าพนักงานเว้นการปฏิบัติหน้าที่  ตามมาตรา  157  ที่ทศเคยบอกจริง ๆ”

                พี่ชัยพรฯพูดกับผมด้วยเสียงสั่นเครือ  พร้อมกับใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาไปพร้อม ๆ กันอย่างที่ไม่อายพวกเราเลย  ข้าพเจ้าคิดว่าพี่แกคงสะเทือนใจมากมิฉะนั้นน้ำตาลูกผู้ชายคงจะไม่มีโอกาสเล็ดลอดออกจากตาเด็ดขาด  ข้าพเจ้าจึงได้ปลอบแก......

                “ พี่ครับมันเป็นไปได้อย่างไร  เราช่วยเขาแท้ ๆ กลับต้องมาตกเป็นผู้ต้องหา  ?”

                “ นั่นซิทศ  ผมไม่เข้าใจเลย  เขาหาว่าเราไม่ไว้หน้าเขา  เขาขอแล้วแค่นี้ช่วยไม่ได้”

                “ แล้วพี่ไม่ได้อธิบายให้เขาเข้าใจหรือว่า  เราไม่จับอาจจะถูกร้องเรียนว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกัน  และอาจจะถูกตั้งกรรมการสอบ  อาจถึงออกจากราชการ  ทางตำรวจเพียงเสียไม้อย่างเดียว  พูดตรง ๆ จะเลื่อยใหม่อีกเมื่อไหร่ก็ได้”

                “ ผมอธิบายหมดแล้วทั้งยกมือไหว้ขอร้องอีกทั้ง ๆ ที่เขาอาวุโสน้อยกว่าผม”

                “ ทางตำรวจเขาสอบพี่เลยใช่ไหม  และพี่ได้เซ็นชื่ออะไรกับตำรวจหรือเปล่า”

                ผมอดห่วงไม่ได้เกรงว่าตำรวจจะบังคับสอบสวนพี่แกแล้วให้เซ็นต์คำให้การซึ่งจะไม่เป็นการดีเป็นแน่”

                “ ผมไม่ได้ทำอะไรนอกจากขอคัดสำเนาประจำวันที่เขาลงไว้มาดูและไว้ปรึกษากับทศ  ก่อน”

                “ ดีแล้วพี่ที่ยังไม่ได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาและสอบสวน  ผมว่าเราเข้าจังหวัดไปปรึกษาป่าไม้จังหวัดดีกว่า”

                ผมเสนอทางออกให้พี่ชัยพรฯตอนนี้เหมือนซากศพเดินได้  รู้สึกจะอ่อนแรงหมดอาลัยตายอยาก.....

                “ เอายังไงเอากัน  ทศ  พี่ตอนนี้คิดอะไรไม่ออกแล้วขอสงบจิตสงบใจก่อน”

                ข้าพเจ้าจึงเรียกรถ  เมื่อขึ้นรถกันพร้อมแล้วออกเดินทางเข้าไปสำนักงานป่าไม้จังหวัด  ซึ่งตั้งอยู่ข้างร้านอาหารชื่อดังแป๊ะตี๋ในปัจจุบัน  ปรากฏว่าป่าไม้จังหวัดไม่อยู่ไปราชการกรุงเทพฯ ประชุมอีกหลายวันถึงจะกลับ  อยู่แต่ผู้ช่วยป่าไม้จังหวัด  พี่ไพรัชฯอายุอานามจะมากกว่าพี่ชัยพรสัก  2 – 3  ปี  ผมกับพี่ชัยพรฯ ได้เข้าไปคุยกับ  พี่ไพรัชที่ห้องทั้งสองคน  พี่ชัยพรซึ่งเป็นคนช่างพูดอยู่แล้วได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พี่ไพรัชฯ   ฟังจนหมดสิ้น  พี่ไพรัชฯตั้งใจฟังเป็นพิเศษ  แต่ไม่ได้ตำหนิพวกเราแต่อย่างใดได้แต่บอกว่า.........

                “ พี่ว่า  เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วนะ  พี่ว่าเราไปพบท่านผู้กำกับดีกว่า  แล้วพี่จะพาไปพรุ่งนี้ให้คุณทศและคุณชัยพรฯ มาพบพี่ที่สำนักงานป่าไม้จังหวัดตอนเก้าโมงเช้านะพี่จะรอ  แล้วตอนนี้พวกเราพักกันที่ไหนละ?”

                “ พวกเราพักกันที่บ้านป่าไม้อำเภอ  พี่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก  พรุ่งนี้พบกันก็แล้วกัน  ผมลาก่อน”

พี่ไพรัชฯ ผู้ช่วยป่าไม้จังหวัดท่านท่าทางเป็นคนใจดีและเอื้ออาธรณ์พวกเดียวกันต้องขอขอบคุณมา    ที่นี้ด้วย พวกเราพอเดินทางกลับมาถึงบ้านป่าไม้อำเภอต่างอาบน้ำทานอาหารที่ป่าไม้อำเภอเตรียมไว้ให้เสร็จแล้วต่างคนต่างแยกย้ายไปนอนในห้องที่ป่าไม้อำเภอจัดไว้ให้  ข้าพเจ้าจับคู่กับดวงแสง  ในสมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้าต้องจุดตะเกียงน้ำมันก๊าด  ซึ่งมันให้แสงริบหรี่ถ้าเราไม่มีเรื่องต้องกังวลใจมันคงเป็นบรรยากาศที่น่าภิรมย์ยิ่ง  แต่คืนนี้มันกลับตรงข้ามหัวหนุนหมอนแทนที่จะนอนหลับด้วยความรวดเร็วเนื่องจากเหนื่อยมาทั้งวันแต่มันกลับตรงกันข้าม  ดวงตายังเบิกโพลงอยู่ท่ามกลางแสงริบหรี่ของตะเกียง  หันไปดูดวงแสง  ก็ปรากฎอริยาบทเช่นเดียวกับข้าพเจ้า  หมอนอนลืมตาโพลงแถมเอามือก่ายหน้าผากเหมือนคนอมทุกข์หนัก  มันน่าจะเป็นเช่นนั้นใครจะมาใจเย็นได้ขาข้างหนึ่งมันเข้าไปอยู่ในคุกในตารางแล้ว  เมื่อข้าพเจ้าพลิกหน้าไปดูดวงแสง     ไอ้หนุ่มป่าไม้จัตวาก็อดรนทนไม่ไหวจึงเอ่ยปากกระทู้ถามข้าพเจ้า.................?

                “ พี่ทศครับพี่คิดว่าพวกเราจะถูกไล่ออกราชการไหมพี่  ถ้าต้องออกผมแย่เลย  แม่หวังไว้ที่ผมคนเดียวตอนนี้ต้องส่งน้องเรียนหนังสืออยู่ด้วย  แย่เลย”

ดวงแสงอดรนทนไม่ไหวจึงได้ถามข้าพเจ้าเนื่องจากมีความกังวลอันเป็นความเครียดของพวกเราทุกคนในตอนนั้น  ใครบ้างละจะไม่กลัวทั้งตกงานเสียอนาคต  แม้แต่ข้าพเจ้าเองก็อดใจหายไม่ได้     ไม่น่าเอาชื่อมาทิ้งที่นี้เลยใจแข็งกว่านี้สักนิดเรื่องก็ไม่เกิด  แต่มาคิดไปทำไมมันผ่านไปแล้วตั้งสติหาทางแก้ดีกว่า  มันต้องมีทางออกบ้างละน่า  เมื่อคิดได้จึงปลอบน้อง ๆ ไปตามสถานการณ์.............

                “ พี่ว่าดวงแสงอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ดีกว่าพี่คิดว่ามันคงไม่หนักจนแก้ไม่ได้  พรุ่งนี้ก็รู้  ทำใจ  นอนเอาแรงไว้ต่อสู้วันพรุ่งนี้ดีกว่า”

ว่าแล้วข้าพเจ้าก็หันหลังให้ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดที่ลำคอกันอากาศหนาวในตอนเช้า  พยายามข่มใจ  และข่มตาให้หลับกว่าจะหลับได้ก็ได้ยินเสียงระฆัง  ซึ่งยามของที่ว่าการอำเภอตีบอกเวลาเที่ยงคืน  ได้ยินเสียงกรนเบามาจากที่นอนของดวงแสงผู้น่าสงสาร.......!!

                                เช้าตื่นขึ้นมาประมาณ  07.00  . อาบน้ำแต่งตัวลงจากบนบ้านมาที่รถ  ปรากฎว่าพวกเราพร้อมกันหมดทุกคนแสดงว่าเมื่อคืนคงนอนไม่เต็มที่นัก  ป่าไม้อำเภอพาพวกเราไปกินอาหารเช้าที่ร้านหนึ่งเดียวในอำเภอ  อยู่ข้างอำเภอด้านทิศเหนือเป็นร้านกาแฟ  พวกเราส่วนใหญ่ขอกาแฟถ้วยพร้อมปาท่องโก๋  เอาเป็นว่าให้อิ่มท้อง  ไปก่อน  ลิ้นมันชาไม่รู้สึกอยากอะไร  เพราะเรื่องใหญ่รออยู่ข้างหน้า  พออิ่มกันทั่วหน้าแล้วพากันขึ้นรถมุ่งสู่ตัวเมืองสุรินทร์ทันทีเป้าหมายสำนักงานป่าไม้จังหวัด  พอไปถึงพี่ไพรัชรออยู่ก่อนแล้ว  เลยรับพี่ขึ้นรถไปด้วยกันเรามุ่งหน้าไปสถานีตำรวจอำเภอเมืองสุรินทร์อันเป็นที่ตั้งของกองกำกับฯ  พี่ไพรัชฯ ลงจากรถจูงมือ  พี่ชัยพรขึ้นไปบนกองกำกับฯ ขอพบผู้กำกับได้รับคำตอบจากนายเวรว่าผู้กำกับไม่อยู่ติดราชการประชุมที่   กรมตำรวจ  ข้าพเจ้าซึ่งได้เดินขึ้นตามไปห่าง ๆ คนเดียวมองเห็นสีหน้าของพี่ชัยพรซึ่งขาวอยู่แล้วบัดนี้กลับซีดลงถนัดใจ  แต่พี่ไพรัชไม่รอช้ารีบพาพี่ชัยพรไปพบรองผู้กำกับหลักจากทราบจากนายเวรว่ารักษาราชการแทนอยู่  ปรากฎว่าท่านอยู่สมใจนึกทั้งคู่หายไปในห้องของรองฯ จับเวลาได้สองชั่วโมง  จึงเห็นพี่ไพรัชฯและพี่ชัยพรฯเดินออกมา  โดยมีท่านรองเดินออกมาส่ง  สีหน้าของพี่ชัยพรเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นบ้างแล้ว  พอเจอข้าพเจ้ารีบเล่าแจ้งแถลงไขทันที..........!!

                “ ทศ! ผมว่าเราน่าจะมีหวังนะ  ท่านรองท่านมีเมตตามาก  ท่านไม่รับปากว่าจะสำเร็จหรือไม่เพราะ   ไม่อยากก้าวก่าย  คดีใครคดีมัน  ประเพณีตำรวจเขาไม่ยุ่งกัน”

                ข้าพเจ้าพอได้ยินดังนั้นค่อยใจชื้นขึ้นมาบ้าง  แต่ความที่ทำงานทางด้านนี้มาพอสมควรแล้วอดที่ไว้ใจใครไม่ได้  มันระแวงไปเสียหมด........

                “ ท่านรองบอกว่าให้พวกเรารอฟังผลพรุ่งนี้ตอนบ่ายให้มาพบท่านที่ห้องประมาณบ่ายสองโมงให้พวกเราไปปฏิบัติงานต่อได้  ไม่ต้องกังวล”

ใครจะมีกระจิตกระใจทำงานทุกคนพากันกลับหน่วยป้องกันรักษาป่าอำเภอปราสาท  พักมันเสียหนึ่งวันคงไม่ทำให้ชาติล้มละลายเป็นแน่  ความเห็นแก่ตัวเริ่มมาเยือนตามสันดานของมนุษย์.....มาถึงหน่วยแล้วเพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่านจึงชวนภารโรงปลูกต้นไม้แก้ขัด  บางคนก็นอนพักเอาแรง  บ้างก็ไปซื้อของที่ตลาดตอนเย็น  มีการกินอาหารกันแบบข้าวกล่อง  โชคดีพี่ชัยพรไม่ดื่มสุราพวกเราเลยไม่กล้าเพราะกำลังอยู่ระหว่างหน้าสิ่วหน้าขวานรอแต่จะให้ถึงพรุ่งนี้เร่งเวลาให้ถึงเร็ว.............

                .............ตื่นเกือบหกโมงเช้าแต่ดูมันสว่างไสวยังกับที่เขาเรียกว่าฟ้าแจ้งจางปาง  เพราะหน่วยฯ ดันมาตั้งอยู่กลางทุ่งนาต้นไม้สักต้นก็ไม่มีห้องนอนก็อนาถาม่านก็ไม่มี  ที่นอนหมอนมุ้ง  เท่านั้นที่เป็นสมบัติในตอนนั้น  สหพรรคพวกก็ตื่นกันหมดแล้วสี่ชีวิตถ้าไม่รวมภารโรง  เพื่อไม่ให้ยุ่งยากในเรื่องการกินจึงแห่กันเข้าตลาดสดเช่นเคยกาแฟกับปาท่องโก๋  อะไร......อะไรมันก็ขมุกขมัวไปหมดไม่สดชื่นเลย  จิตเศร้า  กายก็หดหู่ไปด้วย  ตามหลักที่เขาว่าใจเป็นนาย  กายเป็นบ่าว  ไม่ผิดเพี้ยนเลย  เพิ่งมาเจอเอาตอนนี้แหละ  ทั้งที่เลยวันเบญจเพสมาแล้ว........เพื่อเป็นการฆ่าเวลาข้าพเจ้าจึงชวนพี่ชัยพรฯให้ไปรู้จักกับพี่ใจ  ทองสมบัติ  ป่าไม้อำเภอปราสาท  พี่ใจพอรับฟังเรื่องราวของเราทั้งหมดถึงกับอึ้งไปเลย  และกล่าวตำหนิป่าไม้อำเภอสังขะซึ่งข้าพเจ้าขอร้องไว้ว่าไม่ใช่ความผิดของใครทั้งสิ้นมันเป็นกรรมลิขิตมากกว่า  เมื่อถึงเวลาเที่ยงพี่ใจพาพวกเราไปเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวไก่ลือชื่อของอำเภอ  สำหรับข้าพเจ้าแล้ววันนี้ไม่รู้เป็นอย่างไรลิ้นปราศจากรสชาติ  แต่ก็เอาจนอิ่มเติมพลังไว้ก่อน  พอได้เวลา  13.00  . ตรงพวกเราพากันขึ้นรถร่ำลาพี่ใจแล้วบอกสารถีให้นำเรามุ่งสู่จุดหมายกองกำกับฯ  แต่ก็ไม่ลืมแวะรับพี่ไพรัชฯ ฟางเส้นสุดท้ายของเรา..........!

                .............พอถึงกองกำกับฯ พี่ไพรัชฯ  และพี่ชัยพรฯ  ได้พากันเดินขึ้นไปชั้นบนของกองกำกับสำหรับข้าพเจ้านั้นนั่งรออยู่ชั้นล่าง  คุยกับสิบเวรฯฆ่าเวลาไปพลาง ๆ ก่อน  ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง  เห็นพี่ไพรัชฯและพี่ชัยพรฯเดินลงบันไดมาสำหรับพี่ไพรัชฯนั้นดูไม่ออกแต่พี่ชัยพรนั้นยิ้มร่าพุ่งกระเพื่อมเดินลงมาอย่างสง่าผ่าเผย  ทำเอาข้าพเจ้าพลอยสดชื่นไปด้วยทั้งที่ยังไม่รู้ข่าวว่าเป็นอย่างไร  พอพี่ชัยพรฯมองเห็นข้าพเจ้าตะโกนเรียก  เอะอะโวยวายโดยไม่อายใคร    ที่นั้นเลย.............

                “ เฮ! ทศ  เรารอดแล้วท่านช่วยเราได้จริง ๆ ผมจะไม่ลืมบุญคุณท่านเลย”

พอได้ยินเพียงเท่านั้นมันทำให้หัวใจของข้าพเจ้าพองโตขึ้นมาทันที  ไอ้ที่เคยคิดไว้ในทางร้าย  สลายไปสิ้น  ไม่รอช้าเดินลงจากที่ทำการไปยังรถของพวกเราเล่าเรื่องให้พวกเราฟังคร่าวๆว่าปัญหาทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว  คนที่ดีใจมากอีกคนได้แก่ดวงแสง  คราวนี้คงฝันดีเสียที  พอพี่ชัยพรมาถึงรถบอกให้พาพวกเราไปหาอาหารรองท้อง เพราะพี่แกบอกว่ากองทัพเดินด้วยท้องข้าพเจ้าเห็นด้วยทันทีเพราะกำลังหิวอยู่พอดีเพราะเมื่อตอนเช้ามัวแต่กังวล  เลยกินอาหารไม่อร่อย  เที่ยงนี้ต้องเรียกทุนคืน  พอไปถึงร้านอาหารพี่ชัยพรเริ่มเล่า  เรื่องที่ไปพบท่านรองผู้กำกับว่า................

                “ ท่านใจดีจริง  และเป็นบุคคลที่ยุติธรรมมาก  ผิดจากตำรวจรายอื่นที่ผมเคยพบมา  ท่านบอกผมสั้น ๆ ว่า  สบายใจได้แล้วนะ  ผมจัดการให้แล้ว  ต่อไปต้องทำงานระมัดระวังกว่านี้  ท่านยังสอนผมอีกมากพอรู้ว่าผมเป็นนักวิชาการ  ไม่สันทัดในเรื่องนี้”

                พอพวกเราเสร็จกิจกับเรื่องของท้องแล้วก็ร่ำลาพี่ไพรัชฯ  สำหรับผมนั้นเข้าไปกราบงาม ๆ ที่อกของพี่ไพรัชฯด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจที่ไม่ทิ้งพวกเดียวกัน  แล้วเราก็กลับมาที่บ้านพักป่าไม้อำเภอ  ที่อำเภอสังขะ  พอมาถึงเห็นป่าไม้อำเภอนั่งรออยู่พอดี........

                “ คุณจำลองฯ สบายใจได้แล้วนะเรื่องเรียบร้อยแล้ว”

พี่ชัยพรพอลงจากรถไม่รอช้ารีบแจ้งให้ทีมงานทราบเพื่อความสบายใจ  พอสิ้นเสียงพี่ชัยพรฯ     คุณจำลองจึงได้รายงานให้เราทราบความเป็นไปทางนี้ให้เราได้รู้  ซึ่งมันเป็นความลับที่เราไม่เคยรู้มาก่อน.........!

                “คุณทศ  ผมทราบเรื่องแล้ว  พลตำรวจ  สุรศักดิ์ฯ  เด็กของผมเพิ่มมาบอกเมื่อสักครู่นี้เอง  เด็กมันบอกว่าเมื่อวานนี้รองฯ ท่านมากับ  ทส. ท่าน  เด็กมันบอกว่ามันนั่งอยู่ข้างห้องสารวัตรใหญ่มันกำลังพิมพ์หนังสืออยู่ได้ยินเสียงคุยกันระหว่าง  ท่านรองผู้กำกับและสารวัตรใหญ่โดยตลอด  เด็กมันเล่าว่าท่านรองพอเข้าห้องถามสารวัตรใหญ่เลยว่า  “ ลื้อทำลงไปได้อย่างไรมันไม่ใช่ลูกผู้ชายเลยนี่หว่า  เขาอุตสาห์ช่วยลื้อแล้ว  ลื้อยังดัดหลังเขาอีก ”  สารวัตรใหญ่สารภาพว่าโกรธที่ขอเราแล้วเรา      ไม่ยอมให้  รองเลยบอกว่าพบกันครึ่งทางก็ดีแล้วจะแก้ไขอย่างไร  สารวัตรใหญ่บอกว่าไม่ยากครับ  ที่ให้เสมียนคดีลงประจำวันไปนั้นมันเป็นประจำวันเทียม  ผมเตรียมไว้ดัดหลังพวกที่มันซ่านัก  ท่านรองเลยให้ไปเอาประจำวันเทียมนั้นมามันได้ยินเสียงฉีกกระดาษสงสัยว่าท่านรองจะฉีกประจำวันนั้นทิ้ง”

                พอคุณจำลองพูดจบผมไม่รอช้ากระตุกสำเนาประจำวันที่พี่ชัยพรฯ มาดูปรากฏว่าประจำวันไม่มีรันนิ่งลำดับที่  และลายเซ็น  และในช่องผู้รับทราบประจำวันไม่มีชื่อพี่ชัยพรฯ ข้าพเจ้าถึงบางอ้อทันที  มันเป็นบทเรียนราคาแพงเอามากทีเดียว  เรามันทั้งโง่  สะเพร่า  และที่ต้องจดจำไว้ว่าในเรื่องอย่างนี้  อย่าเอ็นดูเขา  เอ็นเราจะขาด  สรุปได้ว่า  พวกเราจับไม้ใต้ถุนบ้านโดยไม่มีเจ้าของบ้านเพราะเป็นบ้านที่ปลูกพรางไว้ในป่าไม่มีบ้านเลขที่และชื่อเจ้าบ้าน  เป็นการจับไม้ไม่มีตัว  วิน  วิน  ทุกฝ่าย  สำหรับข้าพเจ้าขอจดจำไปจนตาย.....


Last updated: 2014-01-04 09:30:51


@ ประจำวันเทียม ตอนที่ ๒
 


 
     
เชิญท่านเป็นบุคคลแรกที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความ ประจำวันเทียม ตอนที่ ๒
 
     
     
   
     
Untitled Document
 



LFG
www.lookforest.com|บทความ|โปรแกรมคาร์บอนต้นไม้|ฐานข้อมูลชีวภาพ|เครือข่ายฟาร์มป่าไม้|ติดต่อบรรณาธิการ
Powered by: LOOK FOREST GROUP
23/1 ซอยรัชดาภิเษก 64 แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กทม.
Clicks: 
1,250

Your IP-Address: 18.97.14.81/ Users: 
1,248