ต่อ...จากตอนที่� 1
วันแห่งการสิ้นเนื้อประดาตัว เริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว….พวกเรานึกสนุกกันจึงได้สมทบทุนกันคนละเล็กละน้อยพอกับราคาน้ำเปลี่ยนนิสัยหนึ่งขวด กับโซดาน้ำอัดแก๊ส ซึ่งราคาแพงกว่าน้ำมัน พอแดดร่มลมตกพวกเรา 5 คน มีพี่ชัยวุฒิพี่ที่ใหญ่สุดในวันนั้นเริ่มพากันรินไอ้เจ้าน้ำสีอำพัน แล้วรินมันลงไปในลำคอ� น้ำทองแดงถึงแม้ว่ามันจะได้ผสมเพื่อความเจือจางแล้วก็ตามมันยังคงความเป็นน้ำที่ทำให้ลำคออันมีแต่เนื้อเยื้ออ่อนๆ� ต้องร้อนฉ่าขึ้นมาทันทีเปรียบได้กับเตารีดร้อนๆ ที่นาบลงบนใบตองสด ฉันไดก็ฉันนั้น ยิ่งพวกเราคอยังอ่อนด้วยแล้ว มันเหมือนสาวพรหมจรรย์ที่เพิ่งต้องมือชาย แก้วแรกมัวแต่พะอืดพะอม พอแก้วที่สองที่สามเริ่มมีเสียงจอแจ้เกิดขึ้นแล้ว� ต่างคนไม่รู้ไปขุดเรื่องราวอะไรมาเล่าให้กันฟัง และบางคนมีอดีต มันเสมือนม้วนเทป มันเริ่มกรอกลับนำเหตุการณ์ของตนออกมาตีแผ่…
ข้าพเจ้าลืมเล่าให้ฟังว่าบ้านพี่มนัสที่เราอาศัยอยู่กันนี้ในสมัยนั้นยังไม่มีน้ำประปา� พี่มนัสได้ขุดบ่อน้ำโดยใช้ถังคอนกรีตสวมลงไป� โดยมีห้องน้ำขนาดสองคูณสามเมตรอยู่ใต้ถุนบ้าน น้ำในบ่อใสมากสามารถใช้ได้ทั้งอาบและดื่มกินอเนกประสงค์จริงๆ แต่พวกเราส่วนใหญ่จะต้มก่อนดื่มเพราะไม่มั่นใจในความสะอาด เอาเป็นว่า “เซฟตี้เฟิส” พอตกดึกหน่อยพวกเราก็ลิ้นไก่เริ่มสั้นกันแล้ว บางคนก็ขอตัวขึ้นนอนก่อน ส่วนข้าพเจ้านั้นในสมัยนั้นคอยังเยาว์นัก ไปได้ไม่ทันนกกระจอกกินน้ำก็รีบขอตัวขึ้นนอนแต่ก่อนนอนไอ้ความที่คอแห้งหิวน้ำมองไปที่หัวเตียงปรากฏว่าขวดน้ำปราศจากน้ำเสียแล้ว ความหิวกระหายจึงตัดสินใจเอากาน้ำมาใส่น้ำแล้วเอาเตาไฟฟ้าที่เป็นขดลวด ในสมัยนั้นยังไม่มีกาไฟฟ้าเหมือนทุกวันนี้ เมื่อตั้งกาเรียบร้อยแล้วก็เสียบปลักตั้งเตาไว้ปลายเตียงแล้วก็เอนตัวนอนกะว่าจะรอจนน้ำเดือดจะเอาไปแช่น้ำเย็นที่ถังใต้ถุนบ้าน…
ฤทธิ์แห่งสุราเมรัยทำเอาข้าพเจ้าหลับลงไปโดยไม่รู้ตัว…มาสดุ้งตื่นอีกครั้งดึกสงัดแล้วนอนทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา…ทันใดนั้นก็สดุ้งสุดตัวกระโดดลงจากเตียงพุ่งไปยังเตาไฟฟ้าที่ปลายเตียง…พระจ้าช่วย� บนคลองจักษุมันเห็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวอะไรเช่นนั้น กาน้ำอลูมิเนียมแดงโร่เสมือนลาวาที่พุ่งออกมาจากปล่องภูเขาไฟ ข้าพเจ้ารีบดึงปลักออกทันทีแล้วก็ได้แต่นั่งดู อาการในตอนนั้นไม่รู้เรี่ยวแรงมันหายไปไหนหมด…
อนิจจาเกือบไปแล้ว เกือบได้ลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์แล้วว่า “ป่าไม้หนุ่มไฟครอกปางตายคาบ้านพัก”�
เมื่อจัดการทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้ากลับมานอนหมดเรียวแรงไม่อยากคิดต่อว่าถ้าไม่ตื่นมาพบเสียก่อนความเสียหายจะเกิดขึ้นมหาศาลเพียงใด หลับตานึกเรื่องนี้ทีไรขนในกายลุกชันทุกทีไป� เหตุการณ์นี้ข้าพเจ้าไม่เคยเล่าให้ใครฟัง มันเป็นความลับดำมืดมาตลอดมา วันนี้เป็นวันที่ได้เปิดเผยเสียที มันเป็นเหตุการณ์ที่จะเตือนเสมือนลางบอกเหตุว่าจะมีสิ่งร้ายเกิดขึ้นในภายหน้า ซึ่งเป็นจริง…จงตามข้าพเจ้ามา….
พอตื่นเช้ามันเป็นเช้าที่สายมากของข้าพเจ้า ตื่นขึ้นมางัวเงียไม่สดชื่นเท่าที่ควร� ลืมเล่าไปตอนหนึ่งว่าเมื่อวานนี้บ้านเรามีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยือนก่อนแล้วไม่ใช่ใครอื่นเพื่อน โกวิท� ปัญญาตรง� วน.� เช่นเดียวกับเราและเพื่อนก็บรรจุที่อุบลฯ แต่เพื่อนไม่มีเจตจำนงที่จะรับราชการที่อุบลจึงได้มาทำเรื่องขอช่วยราชการที่จังหวัดเชียงใหม่…
ตอนเช้าเลยได้เดินทางเข้าเขตด้วยกันเพื่อทำเรื่อง เมื่อคืนก็ได้ร่วมวงสนทนาวิสาสะกันตามสมควรเช้าเลยป้อแปแป้เช่นกัน� เมื่อมาถึงเขตต่างแยกย้ายไปปฏิบัติตามภารกิจของตน พอได้เวลา� 10.30 น. พวกเราทุกคนเห็นเพื่อนขวาน (สุทธชัย� ภูลวรรณ)วิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาบนสำนักงานเขตได้แจ้งให้พวกเราทราบว่าที่บ้านไม่เหลืออะไรแล้ว…
พอสอบถามได้รายละเอียดก็ทราบว่าบ้านชายโสดของพวกเราถูกยกเค้ากันแล้ว ต่างคนต่างรีบรุดไปตรวจดูสิ่งของ ของตนเอง …
ปรากฏว่าหมดจริงๆ หมดตัวจริงๆ แม้แต่แปรงสีฟันก็ไม่เหลือให้พวกเราไว้ดูต่างหน้าเลย� พี่ชัยวุฒิ เสียหายมากกว่าเพื่อน เพราะปืน ยูเอสอาร์มี� เพิ่งได้มาใหม่ๆ ได้หายไป� สำหรับเพื่อนโกวิทนั้นสงสัยว่าขโมยจะโลโซไปหน่อย เพราะกระเป๋าที่เพื่อนโกวิทใส่ของมานั้นมันแพงจับใจ ยี่ห้อ “แซมโซไนท์” อย่างไรละเพื่อนขโมยเฉิ่มจริงๆ ส่วนเพื่อนยิ่งชัย กับพี่มนัส เป็นมวยหน่อย สงสัยชั่วโมงบินสูง เพราะได้ซ่อนปืนไว้ใต้ตู้ซึ่งขโมยคาดไม่ถึง และเป็นเรื่องโชคดีของพวกเราที่ขโมยไม่ได้นำค้อนตราประจำตัวที่พวกเราได้เบิกมาจากกรมโดยขโมยได้นำมันมากองรวมกันไว้ที่กลางห้อง มันคงสงสัยนะว่าเป็นอะไร ที่นอนหมอนมุ้งถูกกวาดไปเรียบเหลือเพียงชุดที่ใส่ในวันนั้นเพียงชุดเดียว…
คืนนั้นข้าพเจ้ากับโกวิทต้องไปนอนที่โรงแรมศรีกมล นอกนั้นไปนอนที่ต่างกัน พอรุ่งเช้าได้พาเพื่อนโกวิทฯ ไปรายงานตัวต่อป่าไม้เขตพร้อมกับทำเรื่องไปช่วยราชการในคราวเดียวกัน� สำหรับข้าพเจ้านั้นได้ทำเรื่องลากลับบ้าน พอดีกับที่บริษัทโตโยต้าสุรินทร์แจ้งมาว่ารถยนต์ที่ข้าพเจ้าจองไว้มาถึงแล้วให้ไปรับรถได้ สร้างความดีใจให้กับข้าพเจ้า เป็นไปตามหลักของธรรมชาติ ที่ว่า “เมื่อพายุร้ายผ่านพ้นไป ท้องฟ้าเริ่มสดใสฉันนั้น”�
ข้าพเจ้ามาทำงานได้เจ็ดเดือนมีรถใหม่เอี่ยมนั่ง เพื่อนที่รับราชการอยู่ที่ ต.ช.ด. เคยถามว่าโรงเลื่อยซื้อให้ใช่หรือไม่ ข้าพเจ้าตอบว่า ตั้งแต่บรรจุมาเจ็ดแปดเดือน นายยังไม่ได้มอบหมายหน้าที่อะไรให้ทำเลย� ยังไม่รู้จักใครซักคน ก็เพราะได้รถคันนี้แหละที่ทำให้ในช่วงแรกข้าพเจ้าไม่เป็นอันทำงานเอาแต่เที่ยวลูกเดียว มีแต่เพื่อนเขียง (ชวลิต� โฆษิตนิธิกุล )ทำงานป้องกันช่วยเหลือพี่เหงี่ยมอยู่คนเดียว และงานในสมัยนั้นมันไม่เป็นระบบ ไม่มีรุ่นพี่คนไหนยอมสอนงานหรือเป็นพระอาจารย์ให้ เลยกลายเป็นศิษย์ไม่มีครูพอดีมีกรณีที่ต้องให้ได้ออกไปทำงานสนามกับเขาบ้าง เพราะข้าพเจ้าคิดว่าทุกคนที่ถูกบรรจุไปเป็นข้าราชการใหม่ๆ ร้อยทั้งร้อย ต้องการออกทำงานสนามมากกว่าหนังสือ เพราะมันไม่จำเจ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด ตามหลักแล้วเราควรศึกษาหนังสือราชการให้แตกฉานเสียก่อน� เพราะมันเปรียบเสมือนคัมภีร์หรือเข็มทิศที่จะพาเราไปในเส้นทางที่ถูกต้องไม่ต้องมาหลงทางในภายหลัง แต่ก็อีกนั้นแหละในยุคไหนๆ ก็หาคนที่จะมาเป็นพระอาจารย์ให้นั้นยากพอกับถูกล๊อตตารี่รางวัลที่หนึ่งทีเดียว บทเรียนตัวนี้เองที่ทำให้ต่อมาเมื่อข้าพเจ้าได้เป็นผู้บังคับบัญชา ในโอกาสต่อมาน้องๆ ที่บรรจุใหม่ ที่ถูกส่งให้ไปอยู่กับข้าพเจ้าจะต้องถูกจับสอนเป็นรายคนเลยทีเดียว…
กลับมาต่อเรื่องการออกปฏิบัติงานท้องที่ต่อ…
เนื่องจากจังหวัดอุบลราชธานี ได้มีการสร้างถนนสายยุทธศาสตร์ บุณฑริก-น้ำยืน� ทั้งสองชื่อเป็นอำเภอในสังกัดจังหวัดทั้งสิ้น� และทางจังหวัดมีแนวนโยบายที่จะใช้พื้นที่ สองข้างทางห่างจากถนนไปข้างละ� กิโลเมตร เพื่อจัดสรรที่ดินให้แก่ราษฎรในท้องถิ่นยากจน แต่ขบวนการขั้นตอนนั้น ในพื้นที่มีไม้ขึ้นอยู่เต็มไปหมด จึงจำเป็นจะต้องตัดหมดเสียก่อน ทางราชการเรียกพื้นที่เช่นนี้ว่าป่าเปิดประโยชน์การตัดไม้จำเป็นจะต้องตัดหมด เรียกว่าเคลียร์คัตติ่ง เอาละข้าพเจ้าก็จะไม่นำระเบียบการทำไม้มาบรรยายไว้ในที่นี้ทั้งหมด จะเป็นการเสียเวลามาเข้าเรื่องเลยว่าสำนักงานป่าไม้เขตได้ส่งพนักงานป่าไม้ออกไปตีตราตรวจจดแจ้งทำบัญชีเพื่อให้ทราบจำนวนและเป็นการสร้างตำหนิรูปพรรณของไม้ไว้ด้วย นอกเหนือจากการวัดขนาดความยาวและความโต…
โดยจุดสำคัญของเรื่องมันมีอยู่ว่าเขาให้สำรวจไม้ในขอบเขตที่ห่างจากถนนไป 2 กิโลเมตร� แต่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ของเราไม่ทราบหรือว่าไม่รู้ หรือแกล้งโง่หรือรับสินบาทคาดสินบนใครเข้าไปจึงได้ตีตราไม้ล้ำออกไปนอกเขตอนุญาตเป็นไม้จำนวนมาก ป่าไม้เขตจึงจำเป็นต้องตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง ก็โดยการให้กรรมการทำการสำรวจไม้ที่เจ้าพนักงานตีล้ำออกไปเข้าเขตป่าสงวนแห่งชาติว่ามีเท่าใด� ประจวบพอดีกับที่คณะกรรมการที่ถูกแต่งตั้งไปขาดอัตรากำลังในการเดินสำรวจ พอพวกเราสี่ห้าคนมาบรรจุท่านเขตได้จังหวะจึงสั่งให้พวกเราไปช่วยงาน ในชั้นแรกข้าพเจ้าก็ดีใจที่ได้ออกท้องที่ แต่มานึกอีกทีไม่น่าเริ่มต้นที่ตรวจสอบคนกระทำผิดเลย ฤกษ์ป่าไม้เห็นทีจะไม่สดสวยซะแล้ว…
ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงว่าเคยพูดกับเพื่อนไว้ว่าวันใดที่กรมป่าไม้บรรจุให้เราเป็นข้าราชการมันเป็นก้าวแรกที่จะทำให้ข้าพเจ้ามีโอกาสที่จะเดินไปในทางที่มิชอบธรรม…
ผ้าขาวเริ่มถูกแต่งแต้มสีแล้วจะโดยเต็มใจหรือฝืนใจก็ตามมันเป็นวิถีชีวิตที่มันจะต้องเดินไปตามทางดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า … คนเราเกิดมาเพื่ออะไร… ท่านบัญญัติไว้ 3 ประการว่า� มนุษย์เกิดมาเพื่อใช้กรรมหนึ่ง สองเกิดมาเพื่อสร้างกรรม� สามเกิดมาเพื่อตาย…
�
โปรดติดตามเรื่องต่อไป.....รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี...

Last updated: 2013-08-10 21:36:43