ได้รับหนังสือวารสาร
นนทรีฉบับที่ 2/2558ตั้งแต่เดือน กรกฎาคม 2558
แล้วได้อ่านพบบทความของ รศ.ดร.องอาจ�เลาหวณิช เคยู 36 จักรยานเกษตรคืนชีพ “ใครอยากเห็นเกษตรทุ่งบางเขนกลับมาใช้จักรยานยกมือขึ้น”
จึงขอตัดบางช่วงบางตอนที่ท่านได้เขียนมาให้อ่านเพื่อพิจารณา...
“ข้อมูลที่สำรวจมีประชากรในมหาวิทยาลัยเพียงร้อยละ
20 เท่านั้น ที่ใช้จักรยานในพื้นที่มหาวิทยาลัย เพราะอะไรหรือ
จากข้อมูลการสำรวจพบว่ากายภาพของมหาวิทยาลัยยังไม่เชื่อมต่อและไม่ปลอดภัย
จึงไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นสังคมจักรยานและคนที่เดินถนนอย่างจริงจัง ดังนั้น
การเริ่มต้นด้วยการช่วยกันเพื่อคืนจักรยานให้ทุ่งบางเขนจึงน่าจะได้รับการพิจารณาจากลูกพระพิรุณทุกๆท่าน
เราต้องช่วยกันเอาจักรยานกลับมา เพื่อเอาสังคม พี่ๆน้องๆ ชาว���� สีเขียวกลับมา
ก่อนที่คนอื่นจะมาบังคับให้เราต้องทำเพราะเขาเหล่านั้นได้นำจักรยานมาใช้อย่างจริงจัง
ขณะที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เจ้าของตำนานทุ่งแห่งจักรยานได้ละทิ้งตำนานไปเสียแล้ว
อย่ามัวแต่คิดครับ ใครเห็นด้วยให้ยกมือขึ้นตอบกลับที่ ส.ม.ก.นะครับ ผมยังมีข้อความอยากบอกลูกพิรุณอีกมากมาย
แต่พื้นที่จำกัด โอกาสหน้าคงได้���� มาคุยกันอีกนะครับ
ถ้าทุกๆท่านจะยกมือให้จักรยานกลับมาในทุ่งบางเขน.. ครับ”
ยิ่งมีกิจกรรม
ไบท์ ฟอร์ มัม “ปั่นเพื่อแม่”เป็นกิจกรรมเทิดพระเกียรติแม่ของแผ่นดินสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
มีพระชนม์มายุ 83 พรรษา โดยที่โครงการได้จัดให้ถนนในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นเส้นทางที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมอันทรงเกียรติยิ่งในครั้งนี้
ชาวบางเขนทุกผู้ทุกนามอดปลาบปลื้มจนหาที่เปรียบมิได้
วันที่ยิ่งใหญ่วันนี้คิดว่าชาวเกษตรศาสตร์ไม่ว่าจะอยู่ ณ
ภูมิภาคใดในโลกใบนี้หากรับรู้ต้องรู้สึกปลาบปลื้มใจกันทั่วหน้า
ที่แผ่นดินในมหาวิทยาลัยของเราได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ สมแล้วที่เคยเป็นตำนานแห่งท้องทุ่งจักรยานในอดีต...
กิจกรรมนี้ได้ถูกบันทึกไว้โดย
กินเนสส์ บุ๊ก เวิลด์ เรคคอร์ด
เป็นการบันทึกสถิติการปั่นจักรยานติดต่อกันมากที่สุดในโลกว่าเป็นวันที่คนไทยทำได้อย่างน่าอัศจรรย์ด้วยสถิติ
136,416 คน เป็นการทำลายสถิติไต้หวันทำไว้ 72,919 คน ได้อย่างราบคาบ
ภาพเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2558
เป็นภาพประวัติศาสตร์ที่ทำให้นักปั่นเพื่อการศึกษาอย่างพวกเราชาวเกษตรอยากได้เห็นและอยากให้เป็น
จึงขอประชาสัมพันธ์ข้อเขียนและจุดมุ่งหมายของ รศ.ดร.องอาจ� เลาหวนิช �เคยู 36
มายังศิษย์เก่าทุกท่านที่ไม่ได้อ่านบทความในวารสารนนทรี พูดถึงวารสารนนทรีแล้ว มีปัญหาคาใจผู้เขียนอยู่ไม่น้อย
และไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับหนังสืออยู่ในมือ
ทราบจากการอ่านว่าประสบปัญหาไม่มีงบประมาณในการจัดทำ ขอให้สมัครเป็นสมาชิก 1,000
บาทราย 2 ปี จำนวน 6 เล่ม
จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ทุกท่านที่เป็นนิสิตเก่าได้พิจารณา...ช่วยกันสมัครเป็นสมาชิกได้ตลอดเวลา...??
ท้องทุ่งที่เต็มไปด้วยจักรยานเกือบ
5,000 คัน ที่ใช้เป็นยานพาหนะพานิสิตไปยังหอ ตึกพัก และห้องเรียน สร้างบัณฑิตออกไปรับใช้ชาติบ้านเมืองนับไม่ถ้วน
หากเป็นวัตถุมงคลก็คงจะขลังไม่น้อย ผู้เขียนได้ให้ “จักรยานสีแดง”
นำนิสิตใหม่ที่เข้าศึกษาสถานที่แห่งนี้ท่องไปใน อาณาจักสีเขียว
ตั้งแต่การประชุมเชียร์ที่อาคารเทพศาสตร์สถิตย์และพาไปดูกิจกรรมแย่งชิงความเป็นฮีโร่และฮีโรอีน
ในยุทธการชิงธง และพาไปดูการลงโทษนิสิตที่ทะเลาะเบาะแว้งกันโดยการถีบน้ำใน
เหินเวหาท้ามรกตนที�
และยังพาผ่านไปดูรุ่นพี่แอบสิงห์สถิตย์อยู่หอ ในเปรตหอ 15
ซึ่งทำเอานิสิตหญิงไม่กล้าไปเล่นวอลเลย์บอลหน้าหอ 15 ไปนานทีเดียว
จักรยานสีแดงยังพาไปดูการเล่นละครล้อเลียนพฤติกรรมของนิสิตในอาณาจักรขจีในรูปแบบการแสดงในเกษตรานคร
เล่นเอาคนดูฮาตกเก้าอี้ และได้สัมผัสและได้รู้จักหนุ่มน้อย ลายเสือ
สุนัขแสนรู้ประจำร้านแป๊ะหัวล้าน เร่ร่อนพเนจรไปตามหอ และตึก 13 ที่เต็มไปด้วยพวก
นาย นะยะเต็มตึกเต็มหอไปหมด พาไปพบศาลาหกเหลี่ยม โรงเก็บจักรยานที่เก่าแก่ ณ
ท้องทุ่งแห่งนี้ยังขาดเรื่องราวของความรักระหว่านนิสิตชายและหญิง
เพราะเป็นเรื่องส่วนบุคคลหรือเรื่องส่วนตัว
ไม่บังอาจนำมาเขียนแม้จะเห็นมีหลายคู่ที่ท้องทุ่งบางเขนจะมี ขวัญกับเรียม
ก็ไม่น่าแปลก จึงทำให้จักรยานสีแดงคันนี้นำพาไปชมได้ไม่หมด และบทบาทของจักรยานสีแดงใกล้จะถึงบทอำลาแล้วเมื่อถึงวันนั้น...??
ขอย้อนอดีตไปตอนต้นปี
2515 เป็นภาคดเรียน ปี 4 ปลายปีเป็นฤดูกาลที่พวกเราสองจิตสองใจ
ใจหนึ่งก็ดีใจที่จะได้จบเสียที จะได้ไปหางานหาเงินเพื่อเลี้ยงชีพ
ใจหนึ่งอาลัยอาวรณ์สถานศึกษาที่ให้ทั้งความรู้และประสบการณ์ที่ไม่อาจหาได้จากที่ใด
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของบางคณะที่สอบวิชาสุดท้ายแล้ว
ข้าพเจ้านอนอ่านหนังสืออยู่ที่หอ 16�
ไม่ใช่หนังสือเรียนแต่เป็นนวนิยายของศิลปินแห่งชาติ �พนมเทียน ใน เพชรพระอุมา ตอน ไพรพิสดาร
กำลังสนุกไปกับตัวละคร ที่มีเวลาว่างเพราะเทอมนี้สอบเสร็จหมดทุกวิชาแล้ว แต่ยังจบไม่ได้
เพราะยังเก็บวิชาไม่หมด เหลือ ฟิสิกส์ 111 ต้องลงตอนซัมเมอร์ เพราะคณะวิทยาศาสตร์เปิดสอนในตอนนั้น
หากผ่านถือว่าจะได้เป็นบัณฑิตกับเขาเสียที ก่อนที่ความคิดจะไปไกลกว่านี้
มีเสียงคนเปิดประตูมุ่งลวดเดินเข้ามาร้องว่า...
“ไอ้นารถ
ลุกขึ้นแต่งตัว ให้เวลา 10 นาที”
แล้วคนมาเรียกและเร่งก็รีบออกไปเข้าห้องของตัวเองที่อยู่ติดกับข้าพเจ้า
ไม่ใช่ใครเจ้าถวิล เพื่อนคณะเศรษฐศาสตร์ เกษตร
คงสอบเสร็จและมาชวนไปฉลองกันตามที่เคยเปรยๆไว้ให้ฟัง
ข้าพเจ้ารีบแต่งตัวออกมานอกห้องเห็นเจ้าหวินและเจ้าเมธ คณะประมง
ยืนรอพร้อมจักรยานสองล้อเก่าๆ
ข้าพเจ้าซึ่งมีจักรยานที่สภาพดีกว่ามากจึงสอบถามไปว่าใครจะไปด้วย
ทั้งคู่ปฏิเสธและรับว่าจะไปด้วยกัน
ให้ไปที่สามแยกเกษตรที่ร้านอาหารขาประจำเป็นอาหารตามสั่งและมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการจะบริโภค
ทั้งคู่ซ้อนกันไปโดยเจ้าเมธต้องนั่งข้างหน้าเจ้าหวินเพราะรถคันนั้นไม่มีตะแกรงหลัง
ข้าพเจ้าปั่นตามไป พอไปถึงสามแยกเกษตรมองหาทั้งสองคนไม่พบ
คิดได้ไปรอที่ร้านอาหารดีกว่า ไม่ถึง 15 นาที
ทั้งคู่เดินเข้ามาในร้านซึ่งข้าพเจ้าได้จองโต๊ะไว้ให้แล้ว เมื่อทุกคนนั่งเรียบร้อย
ก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้สอบถามอะไรบางอย่าง เจ้าเมธร้องสั่งทันที...
“เหล้าขวด
โซดาสอง”
ข้าพเจ้าจึงร้องทักไปว่า...
“จะเอามาอาบหรืออย่างไร”
จึงร้องสั่งเจ้าของร้านขอเป็นแม่โขงขวดแบนก่อน
เจ้าหวินเจ้าของโครงการออกไม่ค่อยพอใจ ข้าพเจ้าจึงหันไปทางเจ้าหวินถามว่า...
“พวกนายหายไปไหนมา
ทำให้คอยเสียนาน”
เจ้าหวินจึงบอกว่าการฉลองเรียนจบวันนี้ไม่มีเงินจึงเอาเจ้าสองล้อไปขายให้เฮียที่ร้านจักรยาน
เพราะต่อไปไม่ต้องใช้อีกแล้ว ได้เงินมา 50 บาท แกให้ล้อละ 25 บาท ข้าพเจ้าฟังแล้วได้แต่หดหู่ใจ
นี้ถ้าบอกตั้งแต่ต้นว่าจะขายจักรยานคงไม่มาด้วยและเพื่อนก็คงจะปกปิดไว้รู้กันเพียงสองคน
�(เงิน 50 บาท ในสมัยนั้นมีค่ามาก
เพราะจักรยานคันใหม่เอี่ยมเพียงคันละ 450 บาทเท่านั้น ค่าเหล้าวันนี้จึงเต็มที่)
แล้วเจ้าหวินก็สั่งกับแกล้มมาเต็มโต๊ะ
ข้าพเจ้าในสมัยนั้นยังอ่อนมากในเรื่องการดื่ม จึงช่วยได้บ้างเล็กน้อย
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงทั้งคู่เริ่มลิ้นไก่สั้นและเริ่มภาษาพ่อขุนราม โดย����� เจ้าหวินถามขึ้นว่า..
“ไอ้นารถ
มีมึงคนเดียวใช่ไหมในคณะที่ต้องเรียนซัมเมอร์”
ข้าพเจ้ารีบตอบ...
“คงเป็นอย่างนั้นมั่ง
กูไม่ได้สำรวจ แล้วพวกมึงมั่นใจแล้วหรือวะว่าที่สอบวันนี้ผ่าน”
คราวนี้เจ้าเมธตอบบ้าง....
“ชัวร์
ยิ่งกว่าชัวร์� มือชั้นนี้แล้ว”
ข้าพเจ้าจึงกล่าวขึ้นว่า...
“ยังงั้นกูขอดีใจกับพวกมึงสองคนด้วย
ถือว่ากินกันวันนี้ คงจะไม่ได้พบกันอีกนาน สำหรับกูจะพยายามจบในซัมเมอร์นี้ให้ได้”
ข้าพเจ้าดูเวลาเห็นว่าเกือบสามทุ่มแล้ว
ทั้งสองคนกำลังจะหมดสภาพจึงให้ทางร้านคิดเงิน ทั้งคู่ไม่ขัดขืน จึงให้เจ้าเมธนั่งที่คานหน้าของจักรยาน
และเจ้าหวินเกาะเอวนั่งตะแกรงหลัง
เจ้าจักรยานสีแดงมันได้พาพวกเรากลับหอโดยสวัสดิภาพ...
ที่เล่าเรื่องราวนี้ให้ท่านที่อยู่ไม่ทันตำนานแห่งท้องทุ่ง
ได้รู้ว่าจุดจบของยานพาหนะที่รับใช้เรา บทสุดท้าย บางคนก็พามันลงขวด
พวกที่จิตเมตตาหน่อยก็ยกให้รุ่นน้องต่อๆกันไป
สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้ต้องเขียนถึง เนื่องมาจากวันประวัติศาสตร์ “ไบท์ ฟอร์
มัม” เมื่อวันที่ 16 สิงหาคาม 2558
ข้าพเจ้าเองนั่งดูโทรทัศน์ตั้งแต่ต้นจนจบรายการ ไม่ได้ออกไปร่วมกิจกรรม เนื่องจากสังขาร
ได้แต่ปลาบปลื้มใจที่คนไทยรักชาติ รักแผ่นดิน รักองค์พระประมุข
มิได้ถดถอยไปแม้แต่น้อย ทำให้คิดไปว่าเราได้ทำอะไรเพื่อแม่บ้าง
นึกไปถึงเจ้าจักรยานสีแดงคู่ชีพ ใช่แล้ว เราปั่นมันถึง 4 ปี
เพื่อคว้าปริญญาให้ตนเองและเป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่ เราก็ได้ทำแล้วเช่นกัน... ไบท์
ฟอร์ มัม...?
หากจะจบบทความเรื่องนี้ลงที่บรรทัดข้างบน
เรื่องนี้คงไม่สมบูรณ์ เพราะผู้เขียนทิ้งปริศนาไว้
ว่าผลกรรมที่เพื่อนทั้งสองได้นำคู่ทุกข์คู่ยากไปลงขวดแลกน้ำเมาผลออกมาว่า ทั้งคู่สอบไม่ผ่านวิชาสุดท้าย
ที่สุดต้องจบภายใน 4 ปีครึ่ง สำหรับข้าพเจ้าโชคช่วยสอบผ่าน จึงขอจบได้ภายใน 4 ปี
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้...?
�

Last updated: 2015-09-02 06:21:29